จุดเปลี่ยน “สูตรการเมือง” | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

“การเมืองไทย ไม่มีอะไรแน่นอน” แม้ล่าสุด 8 พรรคการเมืองที่ประกาศร่วมหัวจมท้ายกันจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำธงของ “พรรคก้าวไกล” กำเสียงข้างมากไว้ในมือ 312 ที่นั่ง หมายผลักดัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” คว้าดาวนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

ยกระดับ ไต่เพดานบินไปทีละสเต็ป ถึงขนาดจัดตั้ง “คณะทำงานช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล” และคณะทำงานรองรับการแก้ปัญหาเร่งด่วนถึง 7 ทีม คล้ายกับว่า “กำลังปิดจ๊อบ” ได้ในวันนี้วันพรุ่ง

แต่ความเคลื่อนไหวเหมือนหมอกควัน กลับไม่มีใครเชื่อว่า สงครามจะจบเร็ว และ 8 พรรคจะประสบชัยชนะฟอร์มรัฐบาล “พิธา 1” ได้ดังคาดหวัง โดยสะท้อนผ่านดัชนีตลาดหุ้น ตัวเลขแดงแป๊ดยกกระดาน ติดต่อกันมาหลายวัน

ถนนสายประชาธิปไตย สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “พิธา” ที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนพลเมืองมา 14 ล้านเสียง ยังอีกยาวไกลพอประมาณ ตามไทม์ไลน์ลำดับถัดไปก่อนวันที่ 13 กรกฎาคม “กกต.” ต้องประกาศรับรองผลเลือกตั้งให้ได้ตามเกณฑ์ร้อยละ 65 ก่อนครบกำหนดตามรัฐธรรมนูญบังคับ 60 วัน

ไม่เกิน 15 วันหลังรับรองผล จะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ เพื่อเลือกประธานสภา และรองประธานสภา หากให้วิเคราะห์ตามทฤษฎีของรัฐบาลผสมแล้ว เชื่อว่า หวยประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ น่าจะออกที่ “นายชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มากกว่าใครเพื่อน

เพราะเมื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลหยิบชิ้นปลามัน เบอร์ 1 ฝ่ายบริหารไปแล้ว พรรคที่ได้รับเลือกจำนวนเขตเลือกตั้งเสมอกันที่ 112 ที่นั่ง ก็ต้องสลับฟันปลาให้ “เพื่อไทย” จะกินรวบพรรคเดียวในทางปฏิบัติย่อมไม่ได้

เมื่อมีประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนวันที่ 27 กรกฎาคม สถานการณ์จะงวดเข้าช่วงเวลาทองคำ “รัฐสภา” หรือ “สภาผู้แทนราษฎร” กับ “วุฒิสภา” จะประชุมร่วมกันเพื่อโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรี”

ลงเอยตาม “บทเฉพาะกาล” ของรัฐธรรมนูญ 2560 แห่งมาตรา 272 แม้ “สภาผู้แทนราษฎร” จะรวมพลกันได้ 312 เสียง มากกว่าอีกฝ่ายถึง 124 ที่นั่ง สะดวกปลอดภัยรอบทิศ มั่นคง แข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพมาก

แต่ติดติ่ง “บทเฉพาะกาล” ที่กำหนดเอาไว้ว่า “บุคคลใดที่พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี เสียงต้องมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภารวมกัน”

ตัวเลขกลมๆ ของสองสภารวมกันคือ 750 ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่ง คือ 376 เสียง รัฐบาล “พิธา 1” จาก 8 พรรค มีหน้าตักอยู่เต็มตุ่มแล้ว 312 ที่นั่ง ขาดอยู่ 64 เสียงจึงเลยเป้าหมายตามไฟต์บังคับ ล่าสุดมี “ส.ว.สายกลาง” ออกมาคอนเฟิร์มลงชื่อสนับสนุนแล้วประมาณ 20 คน ขาดอยู่อีกราว 40 ที่นั่ง

หากพิจารณาบทบาท และที่ไปที่มาของเหล่า ส.ว.ทั้งหลาย น่าจะไม่ลื่นไหล โอกาสชนปังตอมีความเป็นไปได้สูง

 

กรณีที่บรรดากองเชียร์ ซึ่งนั่งภาวนา อธิษฐานให้หลวงปู่ช่วย จนพลังฝ่ายจารีตใน พ.ศ.ปัจจุบัน ง่อยเปรี้ยเสียศูนย์ ส.ว.ส่วนหนึ่งตาสว่างแหกด่านมะขามเตี้ยมาเติมเต็มผลักดัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เข้าป้ายยึดหัวหาดหมายเลข 1 ตึกไทยคู่ฟ้าได้สำเร็จ

ยังต้องพบต้องเจอกับวิบากกรรมอีกด่านสำคัญ คือการถือหุ้นสื่อในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.2 หมื่นหุ้น แม้ว่าแกนนำและฝ่ายกฎหมายพรรคก้าวไกล จะมั่นใจว่า “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

เพราะการถือหุ้นไอทีวี ละม้ายคล้ายคลึงกับหลายคดีที่ผ่านมา ซึ่ง “ศาลฎีกา” เคยวางบรรทัดฐานเป็นเชิงประจักษ์เอาไว้แล้วว่า การถือหุ้นน้อย ไม่มีนัยยะสำคัญในการใช้อำนาจบริหารกิจการ ใช้สื่อให้คุณให้โทษได้ ไม่มีความผิด

ประกอบกับไอทีวีในปัจจุบันก็ไม่มีสภาพของความเป็นสื่อ ถูก สปน.สั่งยึดความถี่ มีสภาพจอดำมาตั้งแต่ปี 2550 ก่อนเปลี่ยนผู้ผลิตใหม่เป็นไทยพีบีเอสในปัจจุบัน เท่ากับว่า ไอทีวีเป็นกิจการที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อแล้ว จึงไม่น่าจะมีความผิดตามร้อง

เหนือสิ่งอื่นใดอีกประเด็น “นายพิธา” ถือหุ้นไอทีวีในฐานะผู้จัดการมรดก เป็นไปตามหลักฐานที่แจ้งไว้กับ ป.ป.ช. จึงไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สิน

แม้ทีมกฎหมายพลพรรคสีส้มจะมั่นอกมั่นใจว่า “นายพิธา” น่าจะฝันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม ผ่านทั้งด่าน ส.ว. และหุ้นไอทีวี พุ่งชนความสำเร็จ ทะยานเข้าเส้นชัย “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” แต่ดูเหมือนว่า “มนุษย์ลุง” ยังไม่อยากกลับไปเกิดใหม่ มีความหวังซ่อนอยู่ ยืนหยัดกัดฟันสู้ยิบตา

โดยเฉพาะ “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” 9 ปีแล้ว ยังไม่อยากลงจากหลังเสือ พฤติกรรม “อยากอยู่ต่อ” สะท้อนผ่านหลายช่องทาง ทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี ด้วยบทบาทปกติ

เดินทางไปร่วมประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกฯ ถี่ ไม่มีลักษณะคนพ่ายศึก ทั้งๆ ที่ว่า พรรคได้ ส.ส.มาน้อยเพียง 36 คน เลยร้อยละ 5 ไปเพียงเล็กน้อย

และกรณีที่ขั้ว 8 พรรคเกิดจุดเปลี่ยน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” โดนของ ไม่ว่า โหวตไม่ผ่าน 376 เสียง หรือโดนเช็กบิลจากชนวนหุ้นไอทีวี มีสูตรสำรองอยู่หลายสูตร

ขั้วเดิม 312 เสียง ให้ “เศรษฐา ทวีสิน-แพทองธาร ชินวัตร-ชัยเกษม นิติสิริ” จากเพื่อไทยคนหนึ่งคนใดมาดำรงตำแหน่งนายกฯ

หรือกรณีที่ก้าวไกลกับเพื่อไทย เกิดเหยียบตาปลา เลิกคบค้าสมาคมกัน เพื่อไทยสามารถตีกรรเชียงไปจับมือกับ “ภูมิใจไทย-พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์-ชาติพัฒนา” สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สบายมาก ทุกสูตรที่เต้าโผล่ ตูดแพลมขึ้นมาตามหน้าสื่อ ไม่มี “รวมไทยสร้างชาติ” ของ “ลุงตู่” อยู่ในสารบบเลยแม้แต่สูตรเดียว

เว้นแต่การเมืองจนแต้ม จบทุกสูตร แล้วเกิด “รัฐบาลแห่งชาติ” ช่องทางเดียวเท่านั้นที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้