สื่อสาวจีนหอกข้างแคร่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ อ้างชื่อไถ 33 ล้าน แก๊งอุ้มบุญจีนเทา

กลายเป็นข่าวโด่งดัง ผู้คนให้ความสนใจอย่างยิ่ง กรณีนักข่าวสาวจีนแอบอ้างชื่อ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ไปหาผลประโยชน์

แต่ถ้าติดตามข่าวพบว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่รอง ผบ.ตร.คนดังโดน

ย้อนเหตุการณ์สมัยนายพลหนุ่มผู้นี้ หวนคืนรั้วปทุมวัน หลังคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติรับโอนจากข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นตำรวจ ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 9) ทำหน้าที่ด้านยุทธศาสตร์ เทียบเท่าผู้ช่วย ผบ.ตร. เมื่อ 17 มีนาคม 2564 แล้วต่อมาอัพเก้าอี้ขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร.

ราวเดือนกรกฎาคม 2565 พ.ต.อ.ราเมศ แก้วสูงเนิน ผกก.กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.แม่ฮ่องสอน เพื่อนร่วมรุ่น นรต.47 เข้ามอบตัวกับ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ สน.ปากคลองสาน เนื่องจากแอบอ้างว่าสนิทบิ๊กโจ๊กไปหลอกผู้เสียหายซึ่งเป็นญาติผู้ต้องกักชาวอังกฤษว่าช่วยเหลือทางคดี และสามารถประกันตัวผู้ต้องกักได้

พ.ต.อ.ราเมศถูกออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อหาในคดี ร่วมกันฉ้อโกงเงิน 6 ล้านบาทจากญาติผู้ต้องกักชาวอังกฤษ มีหลักฐานเส้นทางโอนเงิน ปรากฏ ผกก.ราเมศให้การรับสารภาพตามนั้น

บิ๊กโจ๊กบอกขณะนั้นว่า ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ที่เอาชื่อไปแอบอ้างเรียกรับผลประโยชน์แล้ว 5 คดี ยืนยันว่า หากมีการนำชื่อไปแอบอ้างเรียกรับผลประโยชน์ แม้เป็นเพื่อนต้องถูกดำเนินคดีทุกกรณี พร้อมฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ และสามารถตรวจสอบกับ “สารวัตรนนท์” นายตำรวจติดตามได้ตลอดเวลา

ด้วยความขลังของชื่อนี้ ถ้าอ้างคนเชื่อ แม้กระทั่งคนต่างชาติ ยังไปหลอกคนชาติเดียวกัน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ย้อนประวัติ-เส้นทาง “บิ๊กโจ๊ก” ก่อนเงียบหาย แล้วกลับกลายมาเป็นข่าวใหญ่อีกหน
ปฏิรูปตำรวจไปไม่ถึงฝั่ง แก้วิ่งเต้นซื้อเก้าอี้ล้มเหลว คสช.รัฐประหารเสียของ?
อาณาจักรโล่เงินยุค ‘บิ๊กเด่น’ วิกฤตขาด ‘นักสืบพันธุ์แท้’ เชื่อ ‘บิ๊กโจ๊ก’ คุมหน้างานอยู่

 

เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตำรวจบุกรวบนายอองวี อายุ 58 ปี สัญชาติฝรั่งเศส ย่านลาดพร้าว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร แอบอ้างชื่อ “รองโจ๊ก” บอกรู้จักกันเป็นอย่างดี รับเคลียร์คดีให้เพื่อนร่วมชาติที่พำนักหรือกำลังเข้ามาในประเทศไทยแล้วติดปัญหาวีซ่า หรือถูกฟ้องร้อง

พบเหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุชาติเดียวกัน อยากมาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่เมืองไทย สูญเงินค่าดำเนินการนับ 100 ล้านบาท

รอง ผบ.ตร.ยืนยันว่า การอ้างเคลียร์คดีได้ไม่มีอยู่จริง และหากพบ ให้แจ้งตำรวจได้ทุกท้องที่

ทั้งหมดมาจากความฮอตของการทำงาน สไตล์มวยบู๊ แบบถึงลูกถึงคน อัพเดตให้สื่อมวลชนทราบตลอด เสมือนมีสปอตไลต์ส่องตลอดเวลา จนได้ติดยศขึ้นเป็นนายพลตั้งแต่อายุ 45 ปี ตำแหน่งผู้บังคับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานงานกับนายกรัฐมนตรี รายงานต่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น แล้วสไลด์เป็น ผบก.ทท. และผู้การ 191 ตามลำดับ

จากนั้นไต่ระดับเป็น รอง ผบช.ทท. ขึ้นเป็น ผบช.สตม. แวดวงคนมีสี ต่างรู้กันดีว่าเป็นคีย์แมน “บิ๊กป้อม” มากบารมี ยามนั้นถึงขนาดพูดกันว่ามีบทบาทสำคัญในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั่วประเทศ ต่อมามีเหตุให้เส้นทางบนถนนสีกากีต้องสะดุดลง

แล้วภายหลังหวนคืนเครื่องแบบสีกากีอีกครั้ง เปรียบเสมือนแมวเก้าชีวิต

1 ตุลาคม 2565 อัพเก้าอี้ขึ้น รอง ผบ.ตร.ดูแลด้านงานสืบสวนสอบสวน หน้างานมีคดีอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนตลอด

ที่สำคัญด้วยวัย 54 ปี ความก้าวหน้าทางราชการถือว่ารุ่งโรจน์มาก เก้าอี้ “พิทักษ์ 1” แบเบอร์ เกษียณอายุปี 2574

 

กรณี “จีจี้” สาวหน้าหมวย ชื่อจริง นางหลุ่ย กั๊ว เรียกกันว่า “จีจี้” เป็นผู้สื่อข่าวสาวชาวจีน ชุดทำงาน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เข้าจับกุมได้ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา

“รองโจ๊ก” เผยว่าได้แอบอ้างตนเองไปเรียกรับเงินจากนางนวพร ภาเกียรติสกุล อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาในคดีอุ้มบุญให้กลุ่มทุนจีนสีเทา โดยจีจี้อ้างว่า สามารถวิ่งเต้นคดีได้ โดยเรียกรับเงิน 33 ล้านบาท เจ้าแม่แก๊งอุ้มบุญหลงเชื่อจ่ายให้ถึง 14 ล้านบาท แล้วที่เหลือจะโอนให้ในภายหลัง

แต่สุดท้ายจีจี้ก็ไม่สามารถดำเนินการตามที่รับปากไว้ได้ เจ้าแม่อุ้มบุญรู้ว่าโดนหลอกจึงเข้าร้องทุกข์รอง ผบ.ตร. ให้ดำเนินคดีกับนักข่าวสาวชาวจีน

มีรายงานข่าวว่าปฏิบัติการจับกุมสื่อมวลชนสาว ตำรวจให้เกียรติและเกรงใจมาก ไปเชิญตัวจากลานจอดรถห้างสรรพสินค้ากลางกรุง นักข่าวสาวนั่งรถส่วนตัวโดยมีคนขับมา สน.ลุมพินี ตำรวจได้ขอนั่งมาด้วย 1 นาย

พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาฐานเรียกรับหรือยอมจะรับผลประโยชน์ใดๆ เพื่อให้เจ้าพนักงานของรัฐกระทำการใดที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ต่อมาได้ให้ประกัน 3.5 ล้านบาท พร้อมห้ามเดินทางออกนอกประเทศเป็นอันขาด

 

สําหรับ “จีจี้” จัดเป็นคนสวย คนดัง มีเชื้อชาติจีน พูดภาษาจีนคล่อง อยู่อาศัย และเรียนหนังสือที่เมืองไทยมานานกว่า 30-40 ปี

ว่ากันว่าทำงานกับ “บิ๊กโจ๊ก” มาตั้งแต่สมัยเป็น ผบก.ทท. เพื่อทำหน้าที่สื่อสารกับทางสื่อจีนในหลายคดี ซึ่งเจ้าตัวยอมรับสนิทสนมกับสื่อมวลชนสาวคนนี้

“จีจี้” มักปรากฏตัวในงานอีเวนต์ใหญ่ๆ แวดล้อมด้วยนักธุรกิจดัง เหล่าไฮโซ เซเลบ อินฟลูเอนเซอร์ และคนระดับบิ๊กๆ ประเทศ

สำหรับสามีผู้สื่อข่าวสาวทราบว่าชื่อ นายซันนี่ เป็นชาวจีน ถูกจับกุมคดีเรียกรับเงินไปก่อนหน้านี้แล้ว

ภายหลังตกเป็นผู้ต้องหา รอง ผบ.ตร.ยังยกเลิกคำสั่งที่ตั้งเป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565

 

ต่อมา นักข่าวสาวชาวจีนได้โพสต์ข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ โดยยืนยันความบริสุทธิ์ โดนขบวนการแก้แค้นทำร้ายของอิทธิพลจีนเทาเล่นงาน เพราะช่วยงานตำรวจคลี่คลายมาเฟียแก๊งมังกรเทาหลายเรื่อง และบอกว่าไม่รู้จักนางนวพร เจ้าแม่อาชญากรรมจีนในไทย พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาล

ขณะที่รอง ผบ.ตร. สวนกลับว่า ขอให้ไปสู้กันในชั้นศาล ตำรวจมีหลักฐานเส้นทางการเงินที่นางนวพรมอบให้เป็นเงินสด 14 ล้าน อยู่ในสำนวนการสอบสวน หากไม่มีหลักฐานเหล่านี้ศาลคงไม่ออกหมายจับ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะนั้นนางนวพรยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ พร้อมยังบอกอีกว่า ทราบเรื่องจีจี้ที่มีการแอบอ้างลักษณะนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐาน คดีนี้เป็นคดีแรก

ด้วยตำแหน่งหน้าที่และอนาคตทางราชการอีกยาวไกล แล้วยังพ่วงด้วยนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ “บิ๊กโจ๊ก” ถือเป็นดาวจรัสแสง จะมีผู้เข้าหา และแอบอ้างชื่อไปหากินอีกจำนวนมาก ถึงแม้เจ้าตัวได้แสดงความเด็ดขาดในการดำเนินคดีอย่างไม่ไว้หน้าก็ตาม แต่กรณีการเลือกคนที่มาอยู่ใกล้ตัว ถ้าไม่กลั่นกรองให้ดีก็จะทำเสียชื่อเสียงได้ ที่สำคัญยังเกิดความเสียหายต่อบุคคลที่ 3 ด้วย

มหาตมะคานธี ผู้นำนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดียและศาสนาฮินดู บอกไว้ว่า “จะไม่ยอมให้ใครเดินผ่านจิตใจโดยที่เท้าของเขาเหล่านั้นยังสกปรก” นั่นคือ การเลือกคนดีเข้ามาในชีวิตนั่นเอง