สู่ผู้นำตุรกีทศวรรษที่ 3 ของ ‘เรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน’

Turkey's President Recep Tayyip Erdogan (C) gestures next to Turkey's new Interior Minister Ali Yerlikaya (R) as he unveils the country's new cabinet at Cankaya Palace after he was sworn in as President in Parliament in Ankara on June 3, 2023. (Photo by Adem ALTAN / AFP)

การเลือกตั้งประธานาธิบดีตุรกี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งงานหินที่สุด สำหรับประธานาธิบดีเรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน ที่ปกครองตุรกีมานานสองทศวรรษ เนื่องจากมีคู่แข่งที่สำคัญอย่างนายเคมาล คิลิชดาโรกลู จากพรรคฝ่ายค้าน

ผลที่ได้ มีความสูสีอย่างมาก แม้ว่าแอร์โดอานจะได้เสียงมากกว่า คือ 49.39 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคิลิชดาโรกลูได้ 44.92 เปอร์เซ็นต์ แต่เนื่องจากไม่มีใครได้คะแนนเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบ 2 ที่จัดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา

กระนั้นก็ตาม การลงคะแนนครั้งแรกก็ชี้ให้เห็นถึงแววชัยชนะของแอร์โดอาน ที่มีคะแนนกระเตื้องนำหน้าคู่แข่งขึ้นมาได้ หลังจากที่ผลสำรวจก่อนหน้านี้ แอร์โดอานมีคะแนนความนิยมน้อยกว่าคู่แข่ง เนื่องจากประชาชนไม่พอใจในการที่รัฐบาลมีความเชื่องช้าในการรับมือกับเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นในตุรกีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์

ขณะที่ผลการเลือกตั้งรอบ 2 ผลปรากฏว่า แอร์โดอานสามารถเอาชนะคิลิชดาโรกลูได้ ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุน 52.1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคิลิชดาโรกลูได้ 47.9 เปอร์เซ็นต์

นั่นหมายความว่า แอร์โดอานในวัย 69 ปี จะได้เป็นประธานาธิบดีตุรกีต่อ ย่างเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ปกครองตุรกีต่อไปอีก 5 ปี กลายเป็นผู้นำตุรกีที่ปกครองประเทศยาวนานที่สุด

อย่างไรก็ตาม คิลิชดาโรกลู ในฐานะผู้พ่ายแพ้ เรียกการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ยุติธรรมมากที่สุดในรอบหลายปีของตุรกี แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งผลการเลือกตั้งที่ออกมาแต่อย่างใด

 

ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีตุรกีครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของตุรกี เนื่องจากฝ่ายค้านมองว่า มีโอกาสอย่างมากที่จะสามารถโค่นแอร์โดอานที่ปกครองประเทศมานาน 2 ทศวรรษลงได้ และจะได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ ได้ หลังจากความนิยมในตัวแอร์โดอานตกต่ำลง เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพ และประชาชนมองว่าเป็นผลจากความผิดพลาดในการบริหารประเทศของแอร์โดอาน

แต่ชัยชนะที่แอร์โดอานได้รับอีกครั้ง ได้กลายเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของการอยู่ยงคงกระพันของแอร์โดอาน หลังจากที่เขาได้เปลี่ยนแปลงนโยบายในประเทศ เศรษฐกิจ ความมั่นคง และการต่างประเทศ ในฐานะที่เขาเป็นคนทำให้ตุรกีได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต)

การที่แอร์โดอานจะได้ปกครองประเทศต่อไปอีก 5 ปี ถือเป็นระเบิดครั้งใหญ่สำหรับฝ่ายค้าน ที่กล่าวหาแอร์โดอานว่า เป็นบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย และสะสมอำนาจมากขึ้น

แต่แอร์โดอานปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว

ในการปราศรัยหลังได้รับชัยชนะ แอร์โดอานได้ให้คำมั่นว่าจะทิ้งความขัดแย้งทั้งหมดไว้เบื้องหลัง และทำให้ค่านิยมและความฝันของชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียว แต่หลังจากนั้น เขาก็พุ่งเป้าโจมตีฝ่ายค้าน และกล่าวหาคิลิชดาโรกลู ว่าเข้าข้างพวกผู้ก่อการร้าย โดยไม่มีหลักฐานแสดงแต่อย่างใด

แอร์โดอานกล่าวด้วยว่า เรื่องภาวะเงินเฟ้อของประเทศ ถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุดของตุรกีในตอนนี้ และว่า ผู้รับชัยชนะเพียงหนึ่งเดียวในวันนี้คือ “ตุรกี”

 

ทั้งนี้ แอร์โดอานเป็นผู้ก่อตั้งพรรคความยุติธรรมและการพัฒนา (เอเคพี) และได้เป็นนายกรัฐมนตรีตุรกีตั้งแต่ปี 2003 ถึงปี 2014 ก่อนจะได้เป็นประธานาธิบดีตุรกีในปี 2014 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยแอร์โดอานรอดพ้นจากการถูกรัฐประหารเมื่อปี 2016 และได้ยกเลิกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ควบรวมอำนาจทั้งหมดไว้ที่ประธานาธิบดี แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมไปถึงการจำกัดเสรีภาพสื่ออย่างมาก จนกลายเป็นผู้นำทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของตุรกี

ต่อจากนี้ เป็นหน้าที่ของแอร์โดอาน ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่า จะนำพาตุรกีให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจได้หรือไม่ โดยเฉพาะปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเกือบ 44 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ค่าเงินตุรกีที่ต่ำลงเป็นประวัติการณ์ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ราคาอาหารสูงขึ้น

และการย่างก้าวสู่การปกครองตุรกี ในทศวรรษที่ 3 ของแอร์โดอาน จะเป็นบทพิสูจน์การเป็นผู้นำตุรกีของแอร์โดอาน…อีกครั้ง