ภาษีคนดี | เรื่องสั้น : บุญญานี จงทวีพรมงคล

เรื่องสั้น | บุญญานี จงทวีพรมงคล

ภาษีคนดี

 

สมัยยังรับราชการอยู่ เชษฐเป็นครูสอนวิชาสังคมที่ขึ้นชื่อว่ายอมหักไม่ยอมงอ หากเขาเชื่อว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ถูก สิ่งนั้นต้องถูกต้องเท่านั้นต่อให้ข้อเท็จจริงจะผิดก็ตาม ถ้าใครแย้งละก็ บอกได้เลยว่ามีเถียงกันน้ำลายแห้งไปข้าง เขาไม่เพียงเป็นอย่างนี้แต่กับนักเรียน แม้แต่ครูด้วยกันยังเอือมระอา ถึงขั้นผู้อำนวยการโรงเรียนหลายรุ่นต้องขอให้เขาผ่อนปรนเรื่องนี้ลงบ้าง แต่…ไม่เป็นผลเท่าไรนัก ไม่สิ ไม่เป็นผลเลยมากกว่า

นิสัยนี้ติดตัวมากระทั่งเกษียณมานั่งๆ นอนๆ กินบำนาญที่บ้าน จากครูกลายเป็นตาแก่หัวดื้อที่คนละแวกบ้านไม่ใคร่จะคบค้าสักเท่าไร ดีที่เขามีบ้านทาวน์เฮาส์สามหลังไว้ในครอบครอง เขาถึงได้พอมีคนพูดคุยด้วยบ้าง คนพวกนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่มาเช่าบ้านของเขานั่นเอง

กล่าวถึงสมบัติพัสถานที่เขาครอบครองอยู่เสียหน่อย ทาวน์เฮาส์สามหลังที่ว่าอยู่ในพื้นที่เดียวกัน กำแพงบ้านและหลังคาใช้ร่วมกัน การก่อสร้างนั้นดูก็รู้ว่านายทุนต้องการประหยัดต้นทุนให้ได้มากที่สุด วัสดุต่างๆ ล้วนบางจนพูดคุยกันทะลุกำแพงให้ได้ยินไปทั่ว เชษฐรู้อยู่เต็มอก แต่ด้วยความที่เมื่อครั้งเป็นครูข้าราชการวัยหนุ่มที่อยากมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง เขาจึงตัดสินใจไม่ยากนัก เพราะตั้งใจแต่แรกว่าจะใช้มันเป็นเครื่องมือในการหารายได้เมื่อตนออกจากราชการ แต่แม้ว่าบ้านทั้งสามหลังจะทำเงินให้เรื่อยมาเท่าใด เชษฐก็มักจะมีปัญหากับผู้เช่าเสมอ รายแล้วรายเล่าจนสุดท้าย ผู้เช่าย้ายออกกันด้วยทนความจุกจิกเจ้ากี้เจ้าการของเขาไม่ไหว ร้ายกว่านั้นคือเชษฐชอบไปบ่นพร่ำเพรื่อเรื่องหนึ่งทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง

นั่นคือ…เรื่องภาษี

ครูวัยเกษียณผู้นี้มีความเชื่อว่าหากประชาชนทุกคนเสียภาษี สวัสดิการสังคมในทุกๆ ด้านจะดีกว่านี้ถ้าทุกคนมีความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ตัวเอง อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ต้องมากังวลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดูแลตัวเองหลังเกษียณอายุ ซึ่งสังคมจะดีได้ เขาต้องเป็นคนหนึ่งที่เสียภาษีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไปจ้ำจี้จ้ำไชคนอื่นๆ ด้วยคำพูดติดปาก

“เป็นประชาชนต้องรู้จักเสียภาษี ไม่มีความรับผิดชอบแล้วประเทศจะเจริญได้ยังไง”

โดยลืมไปสิ้นว่า…คนเหล่านั้นไม่ใช่นักเรียนตนเอง เป็นเพียงผู้เช่าบ้านเท่านั้น

 

สุรกิตเป็นผู้เช่าอีกรายที่ต้องทนกับความน่ารำคาญของเชษฐตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังริมด้านนอก แรกๆ ผู้ให้เช่ากับผู้เช่าก็ปรองดองกันดี ไม่มีปัญหา กระทั่งเชษฐเริ่มรู้เรื่องส่วนตัวของสุรกิตมากขึ้น

“มาจากไหนล่ะเรา” เพิ่งมีโอกาสได้ถามหลังจากสุรกิตวางเงินมัดจำสามเดือนแรกเสร็จสิ้น

“มาจากอีสานครับลุง”

“แล้วทำงานอะไร”

“เป็นหัวหน้ากรรมกรครับ”

“อย่างนี้ก็รับเงินรายวันน่ะสิ”

“แล้วแต่ครับ บางงานเจ้านายก็จ่ายรายวัน บางงานก็จ่ายเป็นก้อน ไม่แน่ไม่นอน”

“งั้นเอ็งจะมีเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้านงวดหน้าเหรอ เงินไม่แน่ไม่นอนอย่างนี้”

“ต้องมีสิครับลุง ผมไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย เดี๋ยวเพื่อนๆ กรรมกรก็ตามมาอยู่ด้วยอีกหลายคน หารกันออกค่าใช้จ่ายได้ครับ”

ฟังแล้วหัวคิ้วของเชษฐกระตุกทันใด เชษฐรู้สึกตัวว่าพลาดแล้วที่ไม่ได้ถามข้อมูลผู้เช่าให้ละเอียดตั้งแต่แรก มัวแต่อยากได้เงินค่ามัดจำจนลืมพินิจว่าต้องแบกรับความเสี่ยงไหม แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาอยากจะรู้ขึ้นมาเรื่องหนึ่งกะทันหัน

“แสดงว่าไม่เคยเสียภาษีเลยล่ะสิ”

“โธ่ ลุงครับ แค่จะกินไปวันๆ ยังแย่เลย จะเอาเงินไหนไปเสียภาษี”

เชษฐไม่พูดอะไร ทว่า สายตาที่มองชายวัยกลางคนตรงหน้าเปลี่ยนไปทันที แสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจเหลือเกิน

“ไม่รู้หน้าที่ เอาแต่คิดถึงประโยชน์ส่วนตัว ประเทศถึงได้ไม่เจริญ”

“อะไรนะครับ?”

สุรกิตไม่แน่ใจนักว่าเขาได้ยินว่าอะไร หากแต่เชษฐไม่พูดซ้ำแล้ว ได้แต่ย้ำ

“ไปเสียภาษีซะ”

สิ้นเสียงพลันเดินกลับเข้าบ้านไป ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเกาศีรษะแกรกๆ ด้วยความงุนงงว่าจู่ๆ มาเข้าเรื่องนี้ได้อย่างไร

 

การไม่เสียภาษีเป็นชนวนเหตุหนึ่งที่ทำให้เชษฐไม่ชอบหน้าผู้เช่ารายใหม่เท่าไรนัก ยิ่งสุรกิตพาเพื่อนร่วมงานแห่มาอยู่นับสิบชีวิต มีตั้งแต่พวกผู้ชายไล่ไปจนถึงลูกเด็กเล็กแดง ชนิดที่ว่าเชษฐจำหน้าค่าตาได้ไม่หมด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาใหม่เรื่อยๆ หนำซ้ำยังกินเหล้าส่งเสียงดังกันได้ทุกคืน เชษฐจึงเริ่มหาเรื่องต่อว่าสุรกิต แรกเริ่มทำเพียงเหน็บแนมลอยๆ หลังๆ หนักข้อขึ้นจนคืนหนึ่งขณะที่วงเหล้าของสุรกิตและพวกพ้องกำลังเข้าที่ เชษฐก็เดินดุ่มๆ ออกจากบ้านหลังในสุดที่ตนอาศัย โยนรองเท้าแตะเข้าไปกลางวงเหล้า เสียงรองเท้ากระทบจานดังเคร้งทำเอาบรรดาขี้เมาทั้งหลายสะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน

“ภาษีก็ไม่เสีย มีครอบครัวก็ไม่รู้จักวางแผน มีลูกยั้วเยี้ยไปหมด รู้ว่ารายได้น้อยแล้วยังจะกินเหล้าเมายาไม่เว้นวัน เอาเงินกินเหล้าไปเสียภาษีดีกว่าไหม ชีวิตพวกเอ็งจะได้ดีขึ้น!”

“โธ่ลุง พวกผมทำงานมาเหนื่อยๆ ก็อยากจะผ่อนคลายบ้าง”

“อยากผ่อนคลายก็ไปนอน ไม่ใช่มาเมาหยำเป ส่งเสียงเอะอะรบกวนกันอย่างนี้ นี่มันบ้านทาวเฮ้าส์ เสียงมันทะลุถึงกันไปไหนต่อไหน ขนาดกูอยู่บ้านริมโน้นยังได้ยินเสียงโคตรดัง เลิกแดกเลยนะพวกเอ็ง ไม่เลิกก็ย้ายออกจากบ้านข้าไป!”

โมโหมากเข้าก็สบถทั้งคำด่า ทั้งขับไล่ไสส่ง แต่หลังจากวันนั้น วงเหล้าของสุรกิตก็พอจะเพลาลงไปได้บ้าง หากมีการดื่มกินกัน มักจะดื่มกันเงียบๆ แล้วเลิกกันแต่หัวค่ำ ด้วยรู้กันว่าถ้าส่งเสียงดังเกินสามทุ่มเมื่อไร เจ้าของบ้านได้มาด่าสาปอีกแน่

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างเชษฐและสุรกิตก็ไม่ค่อยลงรอยกันนัก เชษฐแสดงออกว่ารังเกียจชนชั้นแรงงานอย่างสุรกิตและพรรคพวกชัดเจน ส่วนผู้เช่าได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเพราะไม่มีทางเลือกมากนัก บ้านเช่าสองชั้นที่สามารถอยู่กันได้นับสิบชีวิต ทั้งยังค่าเช่าไม่แพงนักละแวกชานเมืองหลวงไม่ได้หาง่ายนัก ถึงอย่างนั้นเชษฐก็หาได้สนใจแต่อย่างใด ตราบใดที่เขาได้เงินและพวกพ้องของสุรกิตไม่ก่อความรำคาญใจให้ สัญญาเช่าย่อมไม่ถูกยกเลิก

แต่เรื่องของภาษี…เขาอาจมองข้ามได้ยากสักหน่อย

 

การกระทบกระทั่งกันไม่ได้สงบศึกเลย เชษฐตามหาเรื่อง พร่ำพูดเรื่องการเสียภาษีให้รัฐจนผู้เช่าต้องพากันหนีหน้า เชษฐเหงาปากไปพักใหญ่ทีเดียว กระทั่งวันหนึ่งมีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเข้ามาติดต่อเช่าบ้านพักหลังตรงกลาง เขาถึงได้มีคนคุยด้วยอีกครั้ง ธีรสาสน์กับชญาเป็นคู่สมรสหมาดๆ รูปลักษณ์ภายนอกดูภูมิฐานตามประสาหนุ่มสาววัยทำงานสมัยนี้ แต่เชษฐไม่ยอมทำผิดพลาดซ้ำสองด้วยการไม่สอบถามข้อมูลส่วนตัวอะไรก่อนแล้วให้เช่าเลย เกรงว่าจะเน่าในเหมือนสุรกิตอีก ทันทีที่สองคนนั้นนัดเข้ามาดูบ้านและมีทีท่าว่าสนใจจะเช่าจริงๆ เชษฐพลันออกปากถามทันที

“อาจจะดูละลาบละล้วงไปหน่อยนะ แต่ลุงขอถามได้ไหมว่าพวกคุณทำงานอะไรกัน”

ว่าพลางปรายตาสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ขณะที่ธีรสาสน์แย้มยิ้มตอบ

“เป็นผู้จัดการบริษัทโลจิสติกส์ของฝรั่งครับ ส่วนภรรยาผมเป็นแม่บ้าน เราเพิ่งแต่งงานกัน แล้วผมได้ย้ายมาประจำสาขาที่นี่พอดี เลยอยากประหยัดค่าใช้จ่าย ก็เลยมาขอเช่าบ้านคุณลุงน่ะครับ”

ตอบเสร็จสรรพราวกับรู้ว่าจะถูกถามอะไรต่อ เชษฐสบตาอีกฝ่ายก่อนมองเลยไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ถัดไป เธอส่งยิ้มเป็นมิตรให้ ภายนอกของสามีภรรยาคู่นี้ดูดีเกินจนครูวัยเกษียณไม่อยากเชื่อว่าจะมาเช่าบ้านเขาอยู่จริงๆ หากแต่พอจะอ้าปากถามซอกแซกอีก คู่สนทนาพลันชิงสวนขึ้นมาแล้ว

“คุณลุงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเช่าหรอกนะครับ เงินเดือนผมมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าตรงเวลาได้สบายๆ แล้วผมกับภรรยาก็ไม่ส่งเสียงดัง ก่อความรำคาญเดือดร้อนให้เพื่อนบ้านหรือคุณลุงแน่ ไม่ต้องห่วง”

“ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอก” เขาโกหกขึ้นมาในเสี้ยววินาที “แค่สงสัย…”

“สงสัยอะไรเหรอครับ”

“พวกคุณได้เสียภาษีไหม” นอกจากเรื่องที่พวกเขามีปัญญาจะจ่ายค่าเช่าบ้านตรงไหมแล้ว นี่เป็นอีกเรื่องที่เชษฐอยากรู้

“เสียภาษีเหรอครับ?” หากแต่ทำให้คนฟังมีสีหน้าฉงน

“ใช่ อยากรู้แค่นี้แหละ” คนถามว่าด้วยสีหน้าจริงจังจนธีรสาสน์หลุดหัวเราะออกมา

“ก็ต้องเสียสิครับ คุณลุงถามอะไรแปลกๆ ผมทำงานบริษัท เวลาเงินเดือนออกแต่ละที ฝ่ายบุคคลก็จัดการหักภาษีให้เสร็จสรรพอยู่แล้ว ส่วนภรรยาผมถึงจะไม่ได้ทำงาน แต่ญามีกองทุนกับหุ้นที่ซื้อเอาไว้ก่อนลาออกจากที่ทำงานเก่า อันนี้นับเป็นรายได้เหมือนกัน ก็ต้องเสียเหมือนกันครับ”

ฟังเท่านั้น เชษฐพลันยิ้มกว้างออกมา “พวกคุณเป็นคนดีจริงๆ ประเทศชาติเจริญแน่ๆ ถ้ามีคนรุ่นใหม่ที่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองอย่างพวกคุณเยอะๆ ไม่เหมือนไอ้พวกกเฬวรากบ้านนั้น”

“อะไรนะครับ”

ธีรสาสน์ได้ยินประโยคหลังไม่ชัดนัก ทว่า เชษฐไม่ทวนคำพูดแล้ว เขารู้เพียงแต่พอใจกับการได้ผู้เช่าใหม่สองคนนี้มาอยู่คั่นกลางระหว่างเขากับพวกกรรมกรก่อสร้างนั่น

“ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าผมให้พวกคุณเช่าแล้วกัน มัดจำล่วงหน้าเดือนเดียวพอ ผมไว้ใจคนดีอย่างพวกคุณ”

คนดีต้องเสียภาษี การเสียภาษีบ่งบอกว่าเป็นคนดี…เที่ยงแท้ที่สุดแล้ว

 

การที่ธีรสาสน์และชญาไม่อยู่บ้านอย่างนี้ เชษฐยอมรับว่ากังวลใจไม่น้อยว่าทั้งคู่จะไม่กลับมา การเสียรายได้จากคนดีๆ มีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติไปเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย เพราะอย่างนั้นเขาจึงทำทุกวิถีทางที่จะให้สุรกิตย้ายออกไปให้เร็วที่สุด ทั้งกลั่นแกล้งสารพัด เหน็บแนมกระทบกระเทียบไม่เว้นวัน จนสุดท้ายแล้ว วันที่สุรกิตย้ายออกไปก็มาถึง

เชษฐมายืนดูเหล่ากรรมกรก่อสร้างย้ายข้าวของออกจากบ้านเช่าของตนด้วยความโล่งใจ ยิ่งได้รับกุญแจบ้านคืน เขายิ่งสบายใจว่าไม่ต้องไปเกลือกกลั้วกับคนไม่ดีอีก ถึงขนาดที่อดพูดทิ้งท้ายไว้ไม่ได้ว่า…

“ไว้เสียภาษีเมื่อไร กูถึงจะยอมรับว่าพวกมึงเป็นคนดี”

“ถ้าเสียภาษีแล้ว รัฐมีสวัสดิการดีๆ ให้ พวกกูคงเสียไปแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าเงินจะกินไปวันๆ ยังไม่พอ จะเอาปัญญาที่ไหนไปเสียภาษีวะ!”

“คิดแบบนี้ไง ประเทศถึงไม่เจริญ”

“โว้ย! กูไม่เถียงด้วยแล้ว ไอ้แก่ประสาทแดก!”

เป็นการจากลาที่ไม่ดีเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าจบกันไปได้ บ้านหลังที่สามกลับมาว่างอีกครั้ง เชษฐกะว่าจะรออีกสักระยะค่อยติดป้ายให้เช่า อย่างน้อยก็ให้ธีรสาสน์กับชญากลับมาเสียก่อน ไว้พรุ่งนี้เขาค่อยโทร.ไปบอกว่าสุรกิตย้ายออกไปแล้ว จะได้กลับมาอยู่เสียที เขาเหงาปาก อยากสนทนาตามประสาปัญญาชนจะแย่อยู่แล้ว

ทว่า…ความสบายใจอยู่กับชายชราได้ไม่นานนัก ตกดึกคืนนั้น เสียงดังก๊อกแก๊กแว่วมาเข้าหูอีกครั้งหลังจากไม่ได้ยินมาร่วมอาทิตย์ เชษฐลืมตาขึ้นมาในความมืด มองไปรอบๆ ห้องนอนพร้อมฟังเสียงไปด้วย

เสียงนั้น…ใกล้กว่าปกติที่เคยได้ยิน เหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังค่อยๆ ย่องอยู่บนฝ้าเพดานบ้านเขา ก่อนตามมาด้วยเสียงดัง ‘ตุ้บ!’ และมีเสียงพูดคุยกัน

ไม่ผิดแน่…ขโมยเข้าบ้าน!

เชษฐทิ้งตัวลงจากเตียงช้าๆ ค่อยๆ ย่องไปงัดเอาปืนลูกซองที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้ามากระชับในมือมั่น ก่อนสาวเท้าลงไปที่ชั้นล่าง ในหัวคิดครุ่นไม่หยุดว่าขโมยที่เข้าบ้านนั้นจะต้องเป็นสุรกิตกับพรรคพวกแน่นอน เพราะมีแต่พวกมันเท่านั้นที่รู้ว่าบ้านเช่าสามหลังของเขาทะลุถึงกันได้

คราวนี้ล่ะ เขาจะจับพวกมันเข้าซังเตให้หมด แล้วโลกจะได้รู้ด้วยว่าพวกคนไม่รู้จักหน้าที่พลเมืองของตัวเองมันเลวร้ายเพียงใด!

หากแต่ทันทีที่เท้าก้าวลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย สายตาที่ทอดฝ่าความมืดสลัวไปนั้นกลับไม่ได้เห็นภาพของสุรกิตกับเพื่อนคนงานที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตากำลังค้นบ้าน ทว่า เป็นชายและหญิงคู่หนึ่งกำลังช่วยกันรื้อค้นข้าวของ พลางส่งเสียงกระซิบกระซาบคุยกัน

“ไอ้แก่นั่นเอาเงินเก็บไว้ตรงไหนวะ ไม่ใช่มันอำนะที่ว่าเก็บเงินล้านไว้ในบ้านเนี่ย”

“อย่าเสียงดังไปสิพี่ เดี๋ยวมันก็ตื่นหรอก”

“เออ รู้แล้ว รีบๆ หา รีบๆ ไป เราต้องหนีออกนอกประเทศกันแล้ว ขืนอยู่ที่นี่ต่อ มีหวังพ่อจะมารวบให้สักวัน ยิ่งตอนนี้มันระแคะระคายแล้วด้วยว่ามีคนปีนบ้าน ขืนมันรู้ว่าเป็นเราสองคน มีหวังซวย”

“แล้วใครใช้ให้พี่ไปโกงเงินชาวบ้านเขาเป็นล้านอย่างนั้นล่ะ”

“ก็ใครอยากจะทำหวยใต้ดินแต่ไม่อั้นเลขล่ะวะ หาเหาใส่หัวเอง กูเลยต้องมาตามเก็บตามเช็ดให้เนี่ย แล้วกูจะไปหาเงินเป็นล้านๆ มาจากไหน ก็ต้องเชิดเอาเงินพวกบ้าหวยมาใช้หนีน่ะสิ”

“ฉันแค่อยากจะหารายได้เข้าบ้าน ทำไมต้องว่ากันด้วย พี่นั่นแหละที่ทำให้เราต้องหนีหัวซุกหัวซุน โกงเงินหวยไม่พอ ยังจะไปขโมยของบ้านนั้นบ้านนี้อีก แล้วไหนจะยักยอกเงินบริษัทด้วย ตำรวจตั้งค่าหัวเราสองคนเรียบร้อยแล้วมั้ง”

“ถ้ายังพูดไม่หยุด กูจะยิงกรอกปากมึงเดี๋ยวนี้แหละ รีบหา รีบไป เร็ว”

ปลายเสียงเอ็ดขึ้นมาเล็กน้อย ส่ายปืนในมือไปมาเป็นการขู่ ฝ่ายผู้หญิงจึงสงบปากสงบคำได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เชษฐตกใจเท่ากับน้ำเสียงคุ้นหูของคนที่เขารู้จักดี

หรือว่าจะเป็น…

มือคลำไปเปิดสวิตช์ไฟบนผนัง หลอดไฟนีออนสว่างวาบขึ้นมา หัวขโมยสองคนนั้นตกใจจนสะดุ้งโหยง ขณะที่เชษฐตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นใบหน้าของทั้งคู่อย่างชัดเจน

เป็นธีรสาสน์กับชญาที่บอกว่าจะไม่อยู่บ้านหลายวัน ภาพที่เห็นนั้นทำเอาเชษฐทำอะไรต่อไม่ถูก ได้แต่ถือปืนลูกซองงกๆ เงิ่นๆ อยู่อย่างนั้น ขณะที่ธีรสาสน์เห็นท่าไม่ดี หันปลายกระบอกปืนสั้นในมือไปทางชายชราแล้วลั่นไกชนิดไม่ลืมหูลืมตา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของภรรยาที่เห็นร่างผ่ายผอมล้มลงจมกองเลือด

“พี่!”

“ฉิบหาย! รีบหาสมบัติไอ้แก่นี่แล้วออกจากบ้านนี้กัน!”

เสียงฝีเท้าของทั้งคู่ดังเข้ามาในโสตประสาทของเชษฐจนอึงอลไปหมด ดวงตาพร่าเลือน ไม่รับรู้แล้วว่าหัวขโมยสองผัวเมียนั่นทำอะไรต่ออีกบ้าง มีเพียงความเจ็บปวดพร่างพรายไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนมันจะกลายเป็นความชา พร้อมกับความหนาวยะเยือกที่เริ่มกัดกินตั้งแต่ปลายนิ้วเท้าไล่เรื่อยขึ้นมาไปทุกสัดส่วน ไม่น่าเชื่อว่าเขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงคำตอบของต้นเหตุเสียงที่เขาได้ยินด้วย แต่ตอนนี้เขากลับคิดอะไรไม่ออกแล้ว ได้ยินแต่เสียงลมหายใจรวยรินของตนอย่างชัดเจนเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้ยินเสียงดังก้องในหัวก่อนสติสัมปชัญญะห้วงสุดท้ายจะดับวูบไป…ตลอดกาล

เป็นคนดีต้องเสียภาษี…

ต้องเสียภาษี…

เสีย…ภาษี… •