ฉัตรสุมาลย์ : ความฝันของชายหนุ่ม

ในการเดินทางไปต่างประเทศ โดยที่เราเองไม่ได้ภาษาท้องถิ่นนั้น คนที่สำคัญที่สุดในการเดินทางของเราคือ ไกด์และล่ามค่ะ

คุณมนัสยืนยันว่าไกด์ที่ติดต่อไว้ใช้ได้ ความจริงผู้เขียนอยากได้ไกด์จีนที่พูดภาษาอังกฤษ แต่เนื่องจากไม่ได้ไปตามลำพัง เราไปในคณะทัวร์ 28 คน ส่วนมากฟังภาษาไทย เราจึงได้ไกด์ชื่อภาษาจีนที่คนไทยออกเสียงไม่ได้ ในที่สุดเขาแนะนำตัวเองว่าชื่อสุลิน ให้สะดวกกับลิ้นคนไทย

สุลินเรียนภาษาไทยกับอาจารย์ชาวจีนที่ยูนนาน แต่มาอยู่ที่ซีอาน เป็นชายหนุ่มวัย 36 เขาเล่าถึงความฝันของเขาว่า เนื่องจากที่เขาเรียนภาษาไทย ก็มีคนบอกเขาว่า ถ้าจะพูดไทยได้ต้องกินน้ำลายคนไทย หมายถึงต้องมีภรรยาคนไทย

การมีภรรยาคนไทย หรือต่างชาติ ดูจะเป็นค่านิยมที่สังคมชื่นชมด้วย

สุลินจึงไม่มองสาวจีนเลย เขาบอกว่าสาวจีนนั้นหน้าซาลาเปา ขาหมั่นโถว ประมาณนั้น เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาลูกทัวร์ทั้งสาวทั้งแก่

สุลินใฝ่ฝันมากว่าการมีโอกาสได้นำทัวร์คนไทย สักวันหนึ่งเขาจะได้แต่งงานกับสาวไทย ทุกครั้งเขาจะติดต่อขอที่อยู่ทางอีเมลจากบรรดาคุณลุงคุณป้าที่มาทัวร์ เพื่อติดต่อกับลูกสาวหรือหลานสาวของลูกทัวร์ไทย สุลินมีความหวังว่าจะเป็นจริงสูงมาก

เขาเพียรส่งอีเมลติดต่อ 100 กว่าฉบับ เสียเวลาไป 2 ปี ไม่มีผล

ในท้ายที่สุด แม่ทางบ้านก็เริ่มถามแล้วว่า เมื่อไรจะคิดแต่งงาน

 

ค่านิยมของจีนนั้น ผู้หญิงแต่งงานอายุ 22 ผู้ชายแต่งงานอายุ 24 ตอนนั้นสุลินก็อายุ 26 แล้ว เมื่อทางบ้านเร่งรัดมากขึ้น สุลินก็ว่า ตามใจแม่แล้วกัน แม่ก็เสนอผู้หญิงที่เป็นเพื่อนในวัยเด็กในหมู่บ้านเดียวกัน สุลินจำเพื่อนคนนั้นได้ ก็ตกลง

แต่เมื่อกลับไปที่บ้านเพื่อดูตัวเจ้าสาว (ในอนาคต) สุลินบอกว่า เพื่อนที่หน้าตาน่ารักในวัยเด็กนั้น ตัวอ้วนใหญ่ มีสิวเต็มหน้าเลย

สุลินเลยหนีกลับมาทำงานต่อ ตอนนี้อายุ 27 แล้ว บอกกับแม่ว่าจะหาคู่ครองเอง ตอนนี้เขาเริ่มมองสาวจีน เขาว่า เออ ดูไปๆ หน้าซาลาเปามันก็น่าดูนะ

เขาพูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งในวัยเดียวกันที่ดูว่าจะพออยู่กันได้

เมื่อพูดคุยจริงจังมากขึ้น ทางฝั่งผู้หญิงก็บอกว่า ต้องให้พ่อแม่ผู้หญิงได้พบกับสุลินก่อนวันสำคัญ ก็นัดพบปะกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

พอสุลินไปตามนัด ตกใจแทบลมจับ พ่อแม่ฝ่ายหญิงพาบรรดาญาติมาช่วยดูตัวสุลิน 30 คน ไอ้หยา

วันนั้น สุลินจ่ายเงินค่าอาหารไป 1,000 กว่าหยวน

แต่ว่าทุกคนทางฝ่ายผู้หญิงก็ยอมรับสุลิน ตกลงเป็นอันว่าโอเค

ประเพณีจีนที่รัฐกำหนดนั้น ทันทีที่แต่งงาน จะต้องแยกบ้าน เรื่องแรกที่สุลินทำ คือจับจองซื้อคอนโดฯ ที่อยู่อาศัย แต่ทางบ้านผู้หญิงก็หวังว่าสุลินต้องให้ค่าสินสอดทองหมั้น

สุลินก็ให้ไป 28,000 หยวน โดยอ้างว่าเงินที่หาได้ก็ต้องมาสร้างเนื้อสร้างตัวกับการซื้อที่อยู่อาศัย

ทางฝ่ายพ่อแม่ผู้หญิงก็อยู่ในฐานะตกกระไดพลอยกระโจน

ภรรยาก็ตั้งท้องพอดี

พ่อแม่จะไม่ตกลงก็ไม่ได้แล้ว

 

ทั้งสองสามีภรรยาต้องทำงานช่วยกัน ตอนนี้ลูกสาวอายุ 8 ขวบแล้ว แม้ว่าทางรัฐจะดูแลค่าเล่าเรียนของลูกตามนโยบายของรัฐ คือให้มีลูกคนเดียว หากมีลูกคนที่สอง รัฐจะไม่ช่วยค่าใช้จ่าย แต่ในความเป็นจริง ถ้าจะเรียนโรงเรียนของรัฐ บางทีเดินทางจากบ้านไกลมาก ในที่สุดก็ต้องยอมเสียเงินค่าเล่าเรียนให้ลูกได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้านซึ่งต้องจ่ายค่าเทอม

นโยบายลูกคนเดียว ตอนนี้ผ่อนคลายลง รัฐยอมให้มีลูกคนที่สอง หมายความว่า ถ้าจะไม่ตามรัฐก็ได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ด้วยเหตุนี้ สำหรับครอบครัวทั่วไป ก็ต้องยึดมั่นในนโยบายเดิม แม้ว่าตอนนี้รัฐจะผ่อนผัน แต่หลายครอบครัวก็ยืนยันที่จะมีลูกคนเดียว เพราะไม่สามารถจัดการกับความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจได้

แต่นโยบายลูกคนเดียวของจีน ตอนนี้กำลังสร้างปัญหาไปอีกแบบหนึ่ง คือเมื่อ 25 ปีผ่านไป ตอนนี้เด็กที่เกิดเป็นลูกคนเดียว ถูกเลี้ยงดูแบบประคบประหงม เป็นคุณหนู พอจบการศึกษาออกมา กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็มักจะหยิบโหย่ง ใช้ของที่มีราคาแพง ใช้สินค้าแบรนด์เนม ไม่ทำงานบริการ

ปัญหาหนักของจีนตอนนี้คือเรื่องขาดแคลนแรงงานด้านการให้บริการ

 

ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า หนุ่มสาววัยแต่งงานมีครอบครัว คือชาย 24 และหญิง 22 ถ้าอายุ 28 แล้ว กลายเป็นของเก่า ถ้าผู้ชายอายุ 40 ยังไม่แต่งงาน อันนี้เรียกว่า “มอละ หลกโลก” (มรดกโลก) พวกเราฟังแล้วอดหัวเราะตามไม่ได้ แล้วก็หันมามองบรรดาลูกทัวร์สาวๆ ที่ 40 แล้ว ในรถของเราก็มีมรดกโลกหลายคนอยู่

สังคมจีนยังไม่ยอมรับเรื่องหญิงรักหญิง หรือ ชายรักชาย สังคมจีนเป็นสังคมปิด ยังไม่ยอมรับอย่างยิ่ง

แม้แต่สุลินเอง เขาว่า “มันจะเป็นไปได้อย่างไง”

ประเทศจีนที่เราสัมผัสตลอดระยะทาง 3,500 ก.ม. สะอาดมากค่ะ ในการเดินทางไกลบนทางด่วนทุกวันๆ จะมีจุดให้พักรถทุกๆ 150 ก.ม. ลงไปก็จะมีห้องน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ตรงประตูจะมีม่านพลาสติกหน้า เพื่อกันลมเย็น ในหน้าหนาว หากมีลมด้วยความเย็นจะเย็นเฉียบถึงกระดูกทีเดียว

ห้องน้ำส่วนใหญ่จะเป็นนั่งยองๆ มีโถนั่งเพียงห้องเดียวสำหรับคนแก่และคนพิการ แม้ว่าจีนจะพัฒนามาไกลจากที่เราเคยได้ยินในสมัย 10 ปีก่อน แม้จะมีห้องน้ำไว้บริการ แต่ห้องน้ำก็ยังส่งกลิ่น ผ้าอนามัยที่ใช้แล้วทิ้ง ไม่มีการห่อให้เรียบร้อย จึงส่งกลิ่นคาวรุนแรง

สุลินจะดูแลเราตลอดทาง ทุกครั้งที่เราลงเข้าห้องน้ำ หลายครั้งก็ใช้เวลานี้โทรศัพท์พูดคุยกับภรรยาด้วย

แม้ว่าจะไม่ได้กินน้ำลายคนไทยตามที่เคยใฝ่ฝัน แต่ซาลาเปากับหมั่นโถวก็ใช้ได้ดี จุดพักรถบางแห่งมีขายอาหารเครื่องดื่ม ชาร้อนที่ขายเป็นถ้วยสำเร็จรูป เพียงแต่เราต้องมาใส่น้ำร้อนเอง

น้ำร้อนมีบริการทุกแห่ง แม้กระทั่งที่สถานีรถไฟ รู้สึกขอบคุณรัฐบาลจริงๆ

 

สุลินทำหน้าที่ไกด์ให้เราในเมืองซีอาน แต่พอเข้าเขตเมืองกานสู เราต้องไปรับไกด์ของมณฑลกานสู เป็นผู้หญิง ชื่อคุณเซี่ยวลู่ แปลว่าทางเล็ก เป็นชื่อที่ไม่ค่อยได้ยินกันนัก เธอยังไม่แต่งงานเหมือนกัน เป็นของเก่าไปแล้ว

เซี่ยวลู่รูปร่างกะทัดรัด ไม่สวย แต่ก็ไม่น่าเกลียด ถามสุลินว่า ภรรยาของสุลินประมาณนี้ไหม เขาบอกว่า ภรรยาของเราสวยกว่า

รัฐมีกฎว่า คนที่จะเป็นไกด์ได้รับอนุญาตเฉพาะในมณฑลของตัวเอง เพราะฉะนั้น ตอนนี้สุลินทำหน้าที่เป็นล่าม อธิบายสิ่งที่ไกด์พูดให้เราฟังเป็นภาษาไทย

พอเข้ามณฑลใหม่ เราก็จะเปลี่ยนอีกค่ะ มณฑลสุดท้ายเป็นมณฑลซินเจียง เราก็จะมีไกด์ของมณฑลซินเจียงมากำกับคณะของเรา

วิธีคิดแบบนี้ เป็นการกระจายรายได้ให้คนท้องถิ่นไปในตัว ตามนโยบายว่า คนท้องถิ่นจะให้ความรู้และข้อมูลในมณฑลของตัวเองได้ดีกว่าไกด์ที่มาจากมณฑลอื่น

ตอนแรก สุลินจึงแนะนำตัวเองว่า เขาจะเป็นไกด์ให้เราในซีอาน แต่พอเข้ามณฑลกานสู เขาจะเปลี่ยนหน้าที่เป็นล่าม

สุลินสามารถพูดไทยได้คล่อง แต่บางคำไม่ชัด พอเราทักเขา เขาก็ขอให้เราสอนเขาด้วย โดยภาพรวม ภาษาไทยเขาสื่อความใช้ได้

เช่น เขาบอกว่า ศาสนายังขรุขระอยู่ เราก็เข้าใจได้ว่าเขาตั้งใจจะพูดว่าอะไร คำที่เขาต้องจด คือคำว่า อุปถัมภ์ และ อุปัฏฐาก

สำหรับคนจีนที่เรียนภาษาไทยจากครูจีน แล้วพูดอธิบายให้เราฟังได้แค่นี้ ก็ถือว่าใช้ได้ ตอนแรกที่เขาพูดไทย คนจีนก็ฟังไม่รู้เรื่อง คนไทยก็นึกว่าเขาพูดจีน ไม่มีใครรู้เรื่องเลย

ในที่สุดก็พัฒนาขึ้นจากการฝึกฝน ก็ฝึกฝนกับคนไทยนั่นเอง แม้ว่าไม่ได้กินน้ำลายคนไทย มาถึงขนาดนี้ลูกทัวร์ก็พอใจ

คราวหน้าเราจะเข้าเมืองซีอานค่ะ