จับตาสั่งคดี ‘ส.ว.อุปกิต’ ฟัน ‘ยาเสพติด-ฟอกเงิน’ เจ้าตัวหลั่งน้ำตาสาบาน-ฟ้องโรม 100 ล.

เป็นอีก 1 คดีอาชญากรรมข้ามชาติ ที่สังคมให้ความสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันการขบวนค้ายาเสพติด และการฟอกเงินที่มีผู้ต้องหายังเป็นถึงสมาชิกวุฒิสภา นายอุปกิต ปาจรียางกูร

ที่ล่าสุดพนักงานสอบสวนที่ทำคดีมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ยื่นให้พนักงานอัยการพิจารณา

และนัดฟังคำสั่งคดีในวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ซึ่งในวันนี้จะได้รู้ว่าอัยการสั่งฟ้องหรือไม่อย่างไร

โดยคดีดังกล่าวถูกเปิดเผยจากการอภิปรายในสภา ของนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.ก้าวไกล ที่ระบุถึงความผิดปกติในการดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติด

ทั้งเรื่องการออกหมายจับ ส.ว.อุปกิต ซึ่งศาลอนุมัติเรียบร้อย แต่กลับถอนหมายจับในเวลาต่อมา เนื่องจากระบุว่าเป็นบุคคลสำคัญ

ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าผิดปกติอย่างยิ่ง แถมนายตำรวจที่ทำคดีกลับถูกเด้งยกชุด

พร้อมเปิดข้อมูลว่า นายอุปกิตเป็นเจ้าของอาคารพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นแคนดิเดต

ขณะที่ ส.ว.อุปกิตก็ฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท

จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจับตาดูว่าจะมีบทสรุปอย่างไร!??

ร่ำไห้สาบาน

อสส.นัดฟังคดี ส.ว.อุปกิต

สําหรับความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 บช.ปส. นำสำนวนการสอบสวนคดีกล่าวหานายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ฟอกเงิน และมีส่วนร่วมกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ส่งให้กับพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาต่อ

พร้อมเปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนตรวจสอบเส้นทางการเงินของตุน มิน ลัต ซึ่งพบการโอนเงินไปยังบัญชีบริษัทอื่นๆ จำนวน 112 แห่ง และพบข้อความสนทนาทางออนไลน์ ในส่วนนี้พนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมนัดนายอุปกิตมาส่งสำนวนให้พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติดเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งทางอัยการฝ่ายคดียาเสพติดรับสำนวนและตัวผู้ต้องหาไว้แล้ว และจะมีคำสั่งทางคดีและนัดฟังคำสั่งคดีในวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ฝ่ายคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก

ขณะที่นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า คดีนี้นายวัชรินทร์ ภานุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ฐานะหัวหน้าคณะทำงานร่วมสอบสวนและพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 นำตัวนายอุปกิต พร้อมสำนวนการสอบสวนที่มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง จำนวนกว่า 79 แฟ้ม มามอบให้สำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อเสนอฟ้องนายอุปกิตต่ออัยการสูงสุด เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่เกิดนอกราชอาณาจักร ตาม ป.วิ อาญา ม.20 กำหนดให้ น.ส.นารี ตัณเสถียร อัยการสูงสุด มีอำนาจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง แต่เพียงผู้เดียว

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องนายอุปกิตเพื่อดำเนินคดีในข้อหา เป็นสมาชิกวุฒิสภาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน

เป็นสมาชิกวุฒิสภาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีส่วนร่วมกระทำการใดๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในกิจกรรมหรือการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยรู้ถึงวัตถุประสงค์และการดำเนินกิจกรรมหรือโดยรู้ถึงเจตนาที่จะกระทำความผิดร้ายแรงขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว

โดยคดีดังกล่าว นายอุปกิตถูกกล่าวหามีพฤติกรรมพัวพันกับขบวนค้ายาเสพติด นายตุน มิน ลัต ชาวเมียนมา ที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565

ซึ่งจะรู้ว่าอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งอย่างไรในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้

อภิปรายในสภา

ย้อนนาทีโรมอภิปรายเดือด

สําหรับกรณีดังกล่าวเกิดเป็นเรื่องโด่งดังจากการอภิปรายในสภาของนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกลในขณะนั้นที่อภิปรายถึงเรื่องดังกล่าว เมื่อคืนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566

โดยระบุถึงเหตุการณ์ที่ตำรวจสืบสวนนครบาล จับกุมกลุ่มผู้ค้ายา 3-4 กลุ่ม ที่ไปรับซื้อยาบ้าจากเมียนมาเอามาขายต่อ โดยใช้บัญชีม้าในการจ่ายเงิน ซึ่งพบว่าถูกโอนต่อเข้าบัญชีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จ.เชียงราย แล้วส่งต่อสายข้ามแดนท่าขี้เหล็ก เปลี่ยนกลับเป็นเงินค่ายาบ้า

กระบวนนี้ทำกันมาตั้งแต่ 2550 ในนาม 3 บริษัท เป็นการพยายามการอำพรางเงินผิดกฎหมาย ตกแต่งกิจกรรมให้ซับซ้อน เป็นการฟอกเงินผ่านการไฟฟ้าฯ โดยมี ส.ว.ทรงเอ หรือ ส.ว.อ ซึ่งต่อมาก็ทราบกันว่าคือนายอุปกิต อยู่เบื้องหลังการฟอกเงินค้ายาเสพติด

โดยร่วมกับนายตุน มิน ลัต นักธุรกิจชาวเมียนมา จากนั้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจไปขออนุมัติศาลออกหมายจับนายอุปกิต ในความผิดคดียาเสพติดและฟอกเงิน ต่อมาศาลอนุมัติหมายจับ แต่ต่อมากลับมีการประชุมโดยผู้บริหารศาล สั่งยกเลิกหมายจับ และให้ออกเป็นหมายเรียกแทน

และต่อมา มีการย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับที่ทำคดีนี้จากสืบนครบาล ไปอยู่ที่ สภ.บ้านเดื่อ จ.ชัยภูมิ ทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดนายตำรวจที่ทำคดีนี้อย่างคืบหน้า เอาพ่อค้ายารายใหญ่อย่างนายตุน มิน ลัต มาขึ้นศาล ถึงถูกย้ายไปต่างจังหวัด และพ้นอำนาจการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว

นอกจากนี้ยังระบุว่า นายตุน มิน ลัต คือเจ้าของบริษัทสตาร์แซฟไฟร์ กรุ๊ป มีบทบาทสำคัญกับการจัดหาอาวุธ และสนับสนุนการเงินให้กับกองทัพเมียนมา พ่อของเขาที่เคยเป็นอธิบดีกรมการโรงแรมของเมียนมา คือคนที่เซ็นอนุญาตให้นายอุปกิตสร้างโรงแรม หรือบ่อนกาสิโนในท่าขี้เหล็ก

พร้อมยังระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายอุปกิต และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ว่าเป็นเจ้าของที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พรรคการเมืองที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี

และตั้งคำถามถึงการรู้เห็นในขบวนค้ายาเสพติดข้ามชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ารับทราบหรือไม่อย่างไร

สภาเดือดขึ้นมาทันที

ยื่นผบ.ตร.สอบ

แถลงโต้-ฟ้องเรียก 100 ล้าน

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ในวันที่ 17 มีนาคม นายอุปกิตแถลงที่รัฐสภา ตอบโต้กรณีนายรังสิมันต์อภิปรายพาดพิง โดยระบุว่าที่มาชี้แจงช้า หลังที่นายรังสิมันต์อภิปรายไปกว่า 1 เดือนเพราะกลัวเสียรูปคดี ยอมรับว่าลูกเขยถูกจับกุมในคดียาเสพติดและฟอกเงิน ทั้งนี้ หากตนมีอิทธิพล ลูกเขยคงไม่ต้องอยู่ในคุกมานานกว่า 7 เดือน หากจะช่วยกันก็ต้องช่วยกันตั้งแต่วันนั้น ที่ผ่านมาหลานๆ ก็ร้องไห้ แม่ของหลานก็โทรศัพท์มาร้องไห้ทุกวัน

ยืนยันไม่ได้ถือหุ้นเป็นกรรมการบริษัทอัลลัวร์กรุ๊ป ส่วนที่อ้างว่ามีตำรวจถูกย้าย ก็ยืนยันว่าไม่ได้มีอำนาจ หรือกดดันให้ใครย้ายตำรวจในคดีนี้ แต่ที่ถูกย้ายเพราะเป็นไปตามวงรอบ และไม่มีผลงานในช่วง 3-4 เดือน มีแค่คดีนายตุน มิน ลัต คดีเดียว แถมย้ายไปในตำแหน่งใกล้เคียงกัน ไม่ใช่การลงโทษ

ส่วนเรื่องอ้างว่าออกหมายจับและยกเลิกหมายจับวันเดียวกัน เป็นการปั้นหลักฐานให้ตนมีความผิด ส่วนเรื่องเอาเงินค้ายาเสพติดมาฟอกในธุรกิจค่าไฟฟ้าระหว่างประเทศ คงไม่มีใครเอาเงินค่าไฟที่ถูกกฎหมายไปเปลี่ยนให้เป็นเงินผิดกฎหมาย และยืนยันไม่ได้เป็นคนนำไปฟอกเงิน

“คดีของนายตุน มิน ลัต ก็ยังไม่ได้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม กลับนำคดีนี้มาปั่นกระแสเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยที่ผมไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือรักษาสิทธิ์ตนเอง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า มีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ มีความพยายามปั้นหลักฐานต่างๆ ไปฟ้องต่อศาล ผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักการเมือง สื่อมวลชน และตำรวจ” นายอุปกิตกล่าว

“ผมขอสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในสากลโลก ผมและครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำ และไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้ายกล่าวหาผมและครอบครัว ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัวประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป”

ส่วนออฟฟิศที่เป็นสำนักงานพรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคติดต่อขอเช่า บอกจะเป็นออฟฟิศส่วนตัว จึงทำสัญญาเช่า ไม่ทราบมาก่อนว่าจะเปลี่ยนเป็นที่ทำการพรรค

ยืนยันว่าที่ได้เป็น ส.ว.เพราะมีความชำนาญด้านการต่างประเทศ และการไฟฟ้า ไม่ได้เพราะสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ

ก่อนส่งทนายความยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายรังสิมันต์ 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการฟ้องสื่อมวลชน และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย เป็นคดีที่ต้องดูว่าจะมีบทสรุปอย่างไร

รวมทั้งคดียาเสพติดและฟอกเงินที่นัดมีคำสั่งในวันที่ 26 กรกฎาคม 2566

ก็จะได้รู้ว่าคืบหน้าไปอย่างไร!??