‘นิธิ เอียวศรีวงศ์’ ‘ก้าวไกล’ สะท้อน ‘ความเปลี่ยนแปลงลึก’ ของสังคมไทย

หมายเหตุ เนื้อหาบางส่วนจากบทสัมภาษณ์ “ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์” ปัญญาชนอาวุโส ที่แสดงทัศนะต่อชัยชนะของพรรคก้าวไกล ในรายการ “เอ็กซ์-อ๊อก talk ทุกเรื่อง” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี

: อาจารย์เห็นอะไรจากชัยชนะครั้งนี้ของก้าวไกล?

มีคนพูดถึงเรื่องนี้ในเรื่องที่เป็นเทคนิค เช่น เป็นต้นว่า วิธีการหาเสียง วิธีการใช้เครื่องมือสื่อสารแบบใหม่ อะไรอีก 108 ที่ทำให้เขาชนะ

แต่ผมคิดว่าสิ่งทั้งหมดเหล่านั้นมีความสำคัญน้อย เมื่อเทียบกันกับสิ่งที่ในทัศนะผม มันคือ “ความเปลี่ยนแปลงของสังคม” อันนี้ขอพูดยาวหน่อย

เวลาเราพูดถึงรัฐ นักรัฐศาสตร์จะชอบพูดว่า มันมีสองด้านด้วยกัน ด้านหนึ่ง คือ การกำหนดกฎเกณฑ์ให้มีระเบียบเรียบร้อย อีกด้านหนึ่ง คือ ด้านบริการ

ผมอยากจะใช้ว่ามันต้องมีอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะใช้คำว่าบริการ ผมชอบใช้คำว่า “ความชอบธรรม” มากกว่า คือ รัฐจะตั้งอยู่ได้ คุณยอมควักเงินเสียภาษี คุณยอมให้ลูกไปเป็นทหาร และอื่นๆ อีก 108 ยอมขับรถทางซ้ายแทนที่คุณจะขับทางขวา ทั้งหมดเหล่านี้ทำด้วยอำนาจปืนหรือ? ผมว่าไม่ใช่หรอก

คุณทำเพราะเหตุว่าทุกคนในสังคมหรือในรัฐนั้นยอมรับว่า โอเค รัฐกำลังทำอะไรบางอย่างที่ถูกต้องชอบธรรม บางอย่างเราอาจจะไม่เห็นด้วย แต่เขาชอบธรรมที่จะทำ

ผมอยากจะย้อนกลับไปถึงประเทศไทยในระยะ 9 ปี 8 ปี 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ มันเป็นความชอบธรรมไหม?

คุณหันไปมองตำรวจ คนหัวเราะก๊ากเลย ตำรวจเข้าไปเกี่ยวกับการพนัน ตำรวจเข้าไปเกี่ยวกับการปล้นสะดมด้วยซ้ำไป ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของการค้ามนุษย์ ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องที่ผิดกฎหมายหมด

แล้วก็วันหนึ่ง มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิด ตัวผู้บัญชาการตำรวจเอง ออกมาบอกว่า ทุกสังคมมันก็ย่อมมีคนดี-คนเลว เราก็จะขจัดคนเลวออกไป แล้วก็จะเหลือคนดี

ผมว่าถ้าท่านพูดเรื่องนี้เมื่อ 20 ปีมาแล้ว เราก็จะเออ ใช่ๆ ต้องขจัดคนชั่วออกไป แล้วระบบก็จะเหลือแต่คนดีๆ ถูกไหมครับ? แต่บัดนี้ มีใครเชื่อบ้างวะ? มีใครเชื่อบ้างว่าคุณขจัดคนชั่วไปแล้วทุกอย่างจะดีเอง?

ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่ตำรวจ คุณจับเรื่องโรงเรียนก็ได้ ครูปล้ำเด็ก ครูทำให้เด็กท้อง เด็กท้องแล้วแทนที่ผู้ใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้อง ที่เป็นผู้อำนวยการจะช่วยเด็ก กลับไล่เด็กออกเพราะกลัวเสียชื่อโรงเรียน เข้าใจไหม? โรงเรียนมันกลายเป็นแหล่งรังแกเด็กที่ใหญ่ที่สุด ที่ใช้งบประมาณจากภาษีของเราเอง เพื่อรังแกลูกหลานเราเอง ไม่มีความเข้าใจเด็กเลย

แล้วคุณบอก เฮ้ย! ทุกแห่งมันก็มีครูดี-ครูไม่ดี เอาครูไม่ดีออกไป เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีเอง คุณเชื่อเหรอ? ผมคิดว่าไม่มีคนเชื่อไง เข้าใจไหม?

คุณจะจับเรื่องพระ จับเรื่องนั้นก็ได้ เข้าใจไหม? ที่เป็นความชอบธรรมของรัฐ ไม่เหลือสักอย่าง คุณบอกว่าเอาพระไม่ดีออกไป ให้เหลือแต่พระดีๆ ใครเชื่อวะ? ใครเชื่อว่าวงการสงฆ์จะดีขึ้นเพราะเอาพระไม่ดีออกไป?

ทุกเรื่อง ทุกองค์กร ทุกสถาบัน มันเป็นอย่างนี้หมด มันแปลว่าอะไร? มันแปลว่าไอ้ความชอบธรรมหลักที่ค้ำจุนรัฐไทยมันพังไปแล้ว

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

คนต้องการความเปลี่ยนแปลงแล้ว

สมัยหนึ่งคุณบอกว่าเอาคนชั่วออกไป เหลือคนดีไว้ ทุกอย่างจะดีเอง เราไปปฏิรูปนู่นปฏิรูปนี่ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว คนออกมาเดินในกรุงเทพฯ กับคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) เรียกร้องการปฏิรูป ปฏิรูปก็คือว่าโครงสร้างยังอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าคุณแก้เล็กๆ น้อยๆ ข้างในแต่ละโครงสร้างให้มันดี ทุกอย่างมันก็จะไปดีเอง

คำพูดเรื่องปฏิรูปแบบ 8 ปีที่แล้ว 9 ปีที่แล้ว 10 ปีที่แล้ว ถามว่าบัดนี้ ยังมีใครเชื่อว่าประเทศไทยปฏิรูปแล้วจะดีขึ้นได้? ผมว่าไม่เหลือแล้ว

จำนวนมาก ถ้าดูจากผลการเลือกตั้ง จำนวนมโหฬาร สิบกว่าล้านคน ไม่เชื่อแล้วว่าคุณแก้โครงสร้างได้ เพราะฉะนั้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มันเปลี่ยนอย่างชนิดที่ไม่เคยเปลี่ยนมา

คือคุณเรียนประวัติศาสตร์แบบสำนักกรมพระยาดำรงฯ กรุงแตก มีพระเจ้ากรุงธนมาสร้างกรุงใหม่ แล้วทุกอย่างก็ดีเอง จบ บัดนี้ มันไม่ใช่กรุงแตกแบบนั้นแล้ว คุณเข้าใจไหม? กรุงแตกอย่างชนิดคุณสร้างกรุงใหม่ไม่ได้ มันกลายเป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่มันลึกกว่า ใหญ่กว่าที่ประเทศไทยเคยประสบมาก่อน อย่างน้อยที่สุดในระยะ 100 ปีที่ผ่านมา

ด้วยเหตุดังนั้น เวลาที่พรรคก้าวไกลพูดว่า เลือกก้าวไกลแล้วมาเปลี่ยนประเทศร่วมกันกับประชาชน กับพรรคเพื่อไทยพูดว่า เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ เปลี่ยนทันที คุณรู้สึกไหมว่าไอ้คำว่า “เปลี่ยน” ของสองพรรคนี้ไม่เหมือนกันว่ะ?

อันหนึ่ง คือ เปลี่ยนร่วมกัน รู้สึก เฮ้ย! มันต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างที่ใหญ่มากๆ เปลี่ยนทันทีนี่มันคล้ายๆ ว่า เฮ้ยๆ คุณเปิดให้มันมีการแข่งขัน คุณไปติดต่อต่างประเทศ สามารถส่งสินค้าออกได้มาก อะไรต่างๆ นานา อย่างที่พูดกันมาตลอด

พูดง่ายๆ ตัวนโยบายพัฒนาที่เราทำมาตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ (ธนะรัชต์) ถึงปัจจุบันนี้ มันหมดเสน่ห์ไปแล้ว มันหมดความหมายแล้ว คนไม่ต้องการการพัฒนาในความหมายแบบเก่า ที่ปล่อยให้คนรวยไม่กี่คนรวย แล้วคุณไม่แก้ไขอะไร นอกจากว่าขอให้จีดีพีมันขึ้นสูงๆ ก็พอแล้ว

เข้าใจไหม? ระดับความเปลี่ยนแปลงที่พรรคก้าวไกลเสนอ ระดับความเปลี่ยนแปลงที่พรรคเพื่อไทยเสนอ มันคนละเรื่องกัน ในทัศนะผม

และการที่พรรคก้าวไกลชนะพรรคเพื่อไทย แสดงว่าคนไทยจำนวนมากทีเดียว มากกว่าที่เลือกพรรคเพื่อไทยก็แล้วกัน เชื่อว่าประเทศไทยมันต้องเปลี่ยนระดับโครงสร้าง ไม่ใช่เปลี่ยนเพียงแค่ปฏิรูป เปลี่ยนเพียงแค่ว่าเราเลิกโกง เอาคนที่มีฝีมือมาทำนู่นทำนี่ เทคโนแครตขายไม่ออก

คือปัญหาของประเทศไทยเวลานี้ ในทัศนะของคนที่เป็นผู้เลือกตั้งพรรคก้าวไกล (เรา) ไม่เชื่อหรอก ไอ้เทคโนแครตหน้าฉลาด แต่สมองยังไงไม่รู้ ที่ออกมาเที่ยวพูดอย่างโง้นอย่างงี้ 108

ผมคิดว่าสมัยหนึ่ง คุณอาจจะมีมนต์บางอย่าง ที่สะกดคนฟังได้ บัดนี้ มนต์เหล่านั้นมันหายไปแล้ว เพราะทุกคนรู้สึกว่ามึงแก้ไม่ได้หรอก มันไม่ใช่เรื่องของความสามารถ มันไม่ใช่เรื่องแค่ฝีมือ คุณขายแค่ฝีมือ คนจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยไม่เอา

 

: นโยบายเปลี่ยนโครงสร้างต่างๆ ของก้าวไกล เช่น แก้ไข ม.112, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, ปฏิรูปกองทัพ และทลายทุนผูกขาด มันจะสามารถเห็นภาพได้จริงไหม? ในการเมืองแบบนี้

ผมคิดว่าเห็นภาพหรือไม่เห็นภาพ เวลาที่เขาบอกว่าเปลี่ยนไปด้วยกัน ผมว่าอันนี้เป็นหัวใจสำคัญ เขาเองอย่าทิ้งนะ อย่าทิ้งหัวใจสำคัญนี้

พูดง่ายๆ คือ หมายความว่า ความเปลี่ยนแปลงทุกความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ามันจะแรงขนาดไหน ขอให้ประชาชนสนับสนุน ไอ้นี่คือหัวใจสำคัญ ไม่ใช่ขอให้ ส.ว.สนับสนุน ไม่ใช่ขอให้พรรคฝ่ายค้านสนับสนุน ไม่จำเป็น แต่ประชาชนต้องสนับสนุนเขา

ถ้าประชาชนไม่สนับสนุนเรื่องการเลิกเกณฑ์ทหาร โดยใช้วิธีการสมัครใจแทน ถ้าประชาชนไม่สนับสนุนข้อนี้ ผมคิดว่าไปไม่รอด แต่ถ้าเผื่อว่าประชาชนสนับสนุน อาจจะไปรอด น่าที่เราจะเสี่ยง

: ชัยชนะของก้าวไกลถือเป็นความท้าทายที่จะสั่นคลอนอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำ-ฝ่ายอนุรักษนิยมหรือไม่?

คือเอาอย่างนี้นะ ไอ้ความชอบธรรมของรัฐมันผูกพันกับความชอบธรรมของกลุ่มคนที่ได้เปรียบในสังคม ไม่ว่าได้เปรียบโดยทางกำเนิด ได้เปรียบโดยทางทรัพย์สิน หรืออะไรก็แล้วแต่ เสมอ

เมื่อความชอบธรรมของรัฐมันพังทลายไป ถามว่าความชอบธรรมของกลุ่มที่ได้เปรียบในสังคมยังดำรงอยู่ดีหรือ?

เอาพระศาสนาก็ได้ สมัยหนึ่ง เรายกเลยนะ เรื่องของพระศาสนา เรื่องของชี เรื่องของสงฆ์ ชาวบ้านไม่เกี่ยว แต่บัดนี้ มันไม่ใช่ ชาวบ้านเกี่ยวตลอดเวลา แล้วก็จะเป็นคนชี้เองว่าหลวงพ่อไปนอนกับสีกาในวัด

คืออะไรที่มันเป็นความชอบธรรมของชนชั้นนำ มันถูกตั้งคำถามไปพร้อมกับความชอบธรรมของรัฐเองนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ถามว่านโยบายของพรรคก้าวไกลมันไปท้าทายอำนาจอื่นๆ ของชนชั้นนำ

ผมอยากจะถาม (ต่อ) ว่า ถึงไม่มีพรรคก้าวไกล อำนาจชนชั้นนำ (ซึ่ง) วางอยู่บนฐานที่ไม่มีความชอบธรรม คือความชอบธรรมที่ชาวบ้านไม่ยอมรับ ยังไงๆ ก็อยู่ไม่ได้อยู่แล้ว