เมื่อชนะแล้ว พึงเป็นคนนุ่มนวล | คำ ผกา

คำ ผกา

เพียงสัปดาห์เดียวสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปจากที่ฉันมองโลกสวยที่สุดหลังการเลือกตั้งว่า สองพรรคที่มีจุดยืนประชาธิปไตยเอาคะแนนมารวมกันแล้วได้สามร้อยเสียง เป็นชัยชนะของประชาชน

และน่าจะโน้มน้าวให้หนึ่งในสามของของวุฒิสมาชิกเห็นดีเห็นงามในการโหวตเลือกนายกฯ ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

หลังจากนั้น พรรคก้าวไกล เพื่อไทย ประชาชาติ เพื่อชาติ เสรีรวมไทย ฯลฯ ก็จะจับมือกันตั้งรัฐบาล นับหนึ่งบริหารประเทศ สะสางปัญหาเก่าๆ ที่หมักหมม

ริเริ่มแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชน

เริ่มออกไปเจรจาค้าขายกับประเทศอื่น โควิดหมดไปแล้ว เรายังมีปัญหาวิกฤตโลกรวน อากาศร้อนจัด ภัยแล้ง ฝุ่น pm 2.5 ที่ทำให้เศรษฐกิจภาคเหนือของไทยน่าจะซึมไปอีกยาวนาน

ปัญหาของประชาชนรอไม่ได้ แต่การตั้งรัฐบาลดูมีอุปสรรคมากกว่าที่คิด

รัฐธรรมนูญปี 2560 ออกแบบมาเพื่อความยุ่งยากเรื่องนี้

นั่นคือ ฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งต้องการเสียงถึง 376 เสียงในการโหวตเลือกนายรัฐมนตรี

แต่การตั้งรัฐบาล ถ้าไม่ใช่พรรคเดียวแลนด์สไลด์ การเป็นรัฐบาลผสม เสียงแค่สามร้อยเสียงก็ถือว่ามากและอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ

สำหรับคนที่กลัวว่ารัฐบาลจะเข้มแข็งเกินไป และทำให้ฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ไม่เต็มที่เพราะมีเสียงน้อยกว่ามาก ยังไม่นับว่า ถ้าเป็นเสียงที่มากถึงสามร้อยเสียงขึ้นไปที่มาจากพรรคการเมืองเดียวยังมีข้อดีคือ สามารถผลักดันนโยบายที่ไปสัญญาไว้กับประชาชนได้เพราะเสียงเยอะ คุมได้หมดเกือบทุกกระทรวง (คนดีทั้งหลายจะเบ้ปากบอกว่า เผด็จการรัฐสภา)

แต่หากเป็นรัฐบาลผสมที่มีเสียงสามร้อยกว่าเสียง และจำเป็นต้องเก็บเล็กผสมน้อยมาหมด อาจทำให้ต้องเป็นการผสมกันถึงเจ็ดหรือแปดพรรค ก็จะทำให้การผลักดันนโยบายต้องคำนึงพรรคร่วม และอาจทำให้เกิดความไม่ลงรอยกันในหลายเรื่องหลายนโยบาย

ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะแต่ละพรรคก็มีทัศนคติ ค่านิยม ผลประโยชน์ ในแบบของตนเอง

 

ในลักษณะที่ถูกบีบด้วยกติกาจากรัฐธรรมที่วางกับดักไว้หลายจุดเช่นนี้ และพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มีเสียงมากกว่าพรรคอันดับสองเพียงไม่ถึง 10 ที่นั่ง ผลักให้พรรคก้าวไกลต้องตกที่นั่งลำบากพอสมควร

เพราะพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีจุดขายคือ ความตรงไปตรงมา พร้อมชน ขายอุดมการณ์ที่ชัดเจน

นักวิชาการหลายคนที่ออกมาวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งก็พูดเองว่า เพื่อไทยอ่านเกมผิดที่ไปเน้นนโยบายเศรษฐกิจ ในขณะที่อารมณ์ของสังคมเขา attracted to (ถูกดึงดูด) ด้วยนโยบายเชิงอุดมการณ์ แบบ สู้ไปไม่กราบ สู่โค่นล้มนายทุน ขุนศึก จะไปแก้ 112 พรรคอื่นไม่กล้าพูด เรากล้า ฯลฯ

โหวตเตอร์ของพรรคก้าวไกลจำนวนไม่น้อยเลือกเพราะเหตุผลนี้ การเมืองต้องดีก่อน เศรษฐกิจถึงจะดีตาม

ไม่นับว่า ว่าที่ ส.ส. และสมาชิกพรรคส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีบุคลิก “ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไฟแรง” อยากแก้ปัญหาให้ประชาชนโดยเร็ว (เช่น การส่งหนังสือให้ยกเลิกชุดลูกเสือใน กทม. จนผู้ว่าฯ ต้องออกมาบอกว่า เขาทำไปแล้ว)

แต่เมื่อผลการเลือกตั้งไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งแลนด์สไลด์ จำต้องประคองๆ กันไปในสามร้อยเสียง

และต้องการ “ฉันทามติ” จาก ส.ว. ซึ่ง ส.ว.เหล่านี้ก็มีทั้งจุดยืน อุดมการณ์ และผลประโยชน์ที่แตกต่างกีนออกไปอีก

 

บริบทนี้ฉันไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการ และสื่อฝ่ายประชาธิปไตยหลายคนที่ออกมาเชียร์ว่า พรรคฝ่ายประชาธิปไตยไม่ต้องไปง้อ ไม่ต้องไปอ้อนวอน ส.ว. สามร้อยเสียงของเราเหลือเฟือ

นอกจากจะไม่ง้อแล้ว ยังออกมา “หยุมหัว” ส.ว.เหล่านี้รายวัน

ฉันไม่บอกว่าเราไม่ควรด่า ส.ว. แต่เราควรด่า และควรด่ามาโดยตลอด แต่ไม่ใช่เวลานี้ ที่เราต้องการโน้มน้าวพวกเขาอย่างน้อย 70 คนให้มายืนข้างเรา

บางคนบอกว่า ไม่เอา ไม่ชอบ เหมือนเล่นละคร ไม่มีความจริงใจ

แต่ฉันเห็นตรงกันข้าม ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เราเป็นผู้ “ถูกกระทำ” เราจะก้าวร้าว แข็งแกร่งแค่ไหนก็ได้ เพราะเราถูกรังแก เราไม่ได้รับความเป็นธรรม เรามีความชอบธรรมที่จะเกรี้ยวกราด ก้าวร้าว

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว เมื่อเราเป็นผู้ชนะในสนามการเลือกตั้ง ชนะทั้งๆ ที่เป็นกติกาของเขา ชนะทั้งๆ ที่เขาเป็นกรรมการเองด้วยซ้ำ

สิ่งที่ผู้ชนะพึงทำคือแสดงสปิริตของผู้ชนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพรรคอันดับหนึ่ง สิ่งที่พรรคก้าวไกลควรทำคือ ทอดสะพานหาทุกพรรคการเมืองและ ส.ว.สายพลเรือนทุกคน

สร้างบรรยากาศว่า นับแต่นี้ต่อไป ภายใต้การนำของพรรคก้าวไกล จะเป็นการแสวงหาความร่วมมือระหว่างทุกฝ่ายเพื่อนำพาประเทศเข้าสู่การกลายเป็นประชาธิปไตย

 

ในเส้นทางที่ต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ถ้าฉันเป็นพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับหนึ่ง ฉันจะแสดงความยินดีกับทุกพรรคที่ผ่านการเลือกตั้ง ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน มี ส.ส.เข้าสู่สภานิติบัญญัติ

ฉันจะขอบคุณพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุด ก็ยอมลงมาแข่งขันกันตามครรลองประชาธิปไตย

ฉันจะขอบคุณ และแสดงความยินดีกับพรรคภูมิใจไทยที่ได้ ส.ส.มาถึง 70 ที่นั่ง

จะแสดงความชื่นชมยินดีกับพรรคชาติไทยพัฒนาที่แม้จะเป็นพรรคขนาดเล็กของท้องถิ่นก็ยืนหยัดอยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันผันผวนของประเทศมาตลอด

ไปแสดงความยินดีกับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมให้กำลังใจให้สามารถกอบกู้พรรคในฐานะพรรคที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย

จากนั้นจะขอความร่วมมือจากทุกพรรคช่วยแสดงสปิริตโหวตให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้เสนอใครเป็นคู่ชิงเลย

โหวตนายกฯ เสร็จแล้วค่อยแยกย้ายกันทำหน้าที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน และพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป

 

ไม่เพียงแต่ขอฉันทามติจากทุกพรรคให้โหวตเลือกนายกฯ รัฐมนตรี

พรรคก้าวไกลพึงถือโอกาสของความร่วมมือจากทุกพรรคการเมืองในการร่วมผลักดันสาระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชนแทนฉบับ คสช.

ช่วยกันประคับประคองสภาให้ลุล่วงจนมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถึงเวลานั้น อาจจะได้เวลาเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ทุกอย่างกลับเข้าสู่เส้นทางของประชาธิปไตย

หลายคนอาจมองว่าโลกสวย และพรรคที่ฝักใฝ่อยากอาศัยใบบุญของเผด็จการอยู่ในอำนาจไม่น่าจะให้ความร่วมมือ

แต่ฉันคิดว่า หากทอดสะพาน ทอดไมตรีแล้วไม่รับ เครดิตก็ยังอยู่กับผู้ทอดไมตรีอยู่ดี

ประชาชนก็จะได้เห็นว่า พรรคแกนนำรัฐบาลได้พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีแล้ว พรรคไหนไม่รับ ไม่ร่วมมือ ก็จะถูกจดจำโดยประชาชนไปเอง

เมื่อสังคมเห็นว่าพรรคที่ชนะการเลือกตั้งได้สานไมตรีไปทุกทิศก็ย่อมสบายใจว่า พรรคที่มีอุดมการณ์แรงกล้านี้ ไม่ได้ประสงค์จะสร้างความขัดแย้ง แต่ต้องการสร้างประชาธิปไตยและความยุติธรรมต่างหาก

การปั่นเรื่องล้มเจ้าเอย อะไรเอยก็จะไม่มีน้ำหนัก

ส.ว. โดยเฉพาะ ส.ว.สายพลเรือน ก็จะเห็นว่าการโหวตเลือกพิธาเป็นนายกฯ นอกจากได้จบหน้าที่ ส.ว.ได้สวยแล้ว ก็สบายใจว่า ตนเองไม่ได้สนับสนุนควมก้าวร้าวล้มล้างใดๆ ไม่ต้องกลัวจะเป็นที่ครหา

 

ในฐานะแกนนำพรรครัฐบาลที่มีเสียงเพียง 151 เสียง ปฏิเสธไม่ได้ว่า 141 เสียงของพรรคเพื่อไทยสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ความสำเร็จในการทำงานของพรรคก้าวไกลจึงหมายถึงความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทยด้วย

และสิ่งที่ท้าทายที่สุดของพรรคก้าวไกลคือนโยบายการปฏิรูปกองทัพ การปฏิรูปที่ดิน การกระจายอำนาจ การปฏิรูปการศึกษา ล้วนแต่แหลมคมต่อ “อำนาจเก่า”

หากไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพรรคการเมืองทุกพรรค ก็สุ่มเสี่ยงที่นโยบายแหล่านี้จะไม่สำเร็จ

โฉมหน้าการเมืองใหม่ของปรเทศอยู่แค่เอื้อม และประชาชนที่อยากเห็นประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยก็ลุ้น และเอาใจช่วยให้การตั้งรัฐบาลผสม ก้าวไกล-เพื่อไทย สำเร็จได้จริงๆ

ย้ำอีกครั้งว่ากุญแจแห่งความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่ความก้าวร้าว แต่คือความนอบน้อมและนุ่มนวล