ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน
Instagram : @sueching
Facebook.com/JitsupaChin
‘เพลงโดย AI’
โดนหูแต่ไม่โดนใจ
เพลงเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้เพื่อเยียวยาจิตใจมาอย่างยาวนาน เนื้อร้องและท่วงทำนองของเพลงที่ตรงกับความรู้สึกในใจคนฟังสามารถเปลี่ยนให้วันที่มืดเทากลายเป็นสดใสขึ้นมาได้ ที่ผ่านมามีแค่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถสร้างสรรค์บทเพลงที่มีความสลับซับซ้อนในแบบทุกวันนี้
จนกระทั่ง AI ถือกำเนิดขึ้นและขอลองฝีมือดูบ้าง
ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นสิ่งที่ออกแบบมาให้มีความคล้ายคลึงกับสมองมนุษย์ที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลได้
เราได้เห็นความเก่งกาจของ AI มาแล้วในหลายรูปแบบ
หนึ่งในสิ่งที่กำลังเป็นที่พูดถึงและถกเถียงกันมากก็คือการใช้ AI สร้างผลงานเพลงซึ่งเป็นสิ่งที่เคยเชื่อกันว่าต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในแบบมนุษย์เท่านั้นจึงจะสามารถทำได้
วิธีการใช้ AI สร้างเพลงก็เหมือนกับการใช้ AI ทำงานในรูปแบบอื่นๆ คือป้อนข้อมูลที่เป็นเพลงจำนวนมหาศาลที่ถูกประพันธ์ขึ้นโดยมนุษย์เข้าไป ดีพเลิร์นนิ่งจะค่อยๆ ทำความเข้าใจว่าเพลงถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร และลองสร้างเพลงขึ้นมาโดยเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวมันเองไปเรื่อยๆ คล้ายๆ กับการที่เด็กเรียนวิธีเล่นเครื่องดนตรี
ทำไปบ่อยๆ AI ก็จะค่อยๆ เก่งขึ้นจนสามารถสร้างเพลงที่ฟังดูสมจริงขึ้นจนใกล้เคียงที่สุด
เมื่อมันทำได้ดีและใช้งานง่ายปัญหาที่ตามมาก็คือพื้นที่บนแพลตฟอร์มสตรีมเพลงในตอนนี้ถูกยึดครองโดยเพลงประเภทใหม่ คือเพลงที่ถูกสร้างขึ้นด้วย AI
ที่มาที่ไปของเพลงเหล่านี้เกิดจากบริการสร้างเพลงโดย AI ที่ผู้ใช้งานเพียงแค่ต้องพิมพ์เข้าไปว่าอยากได้เพลงแนวไหน เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร และจะให้ร้องด้วยสไตล์ของนักร้องคนไหน
เพียงแค่นี้ AI ก็จะแต่งเป็นเพลงออกมาให้โดยที่ผู้ใช้งานแทบไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านั้นเลย
เพลงที่ AI สร้างที่เรียกเสียงฮือฮาพอสมควรก็คือเพลงชื่อ Heart On My Sleeves ที่ถูกระบุว่าเป็นผลงานของนักร้องชื่อดังอย่าง Drake และ The Weeknd แต่จริงๆ แล้วเป็นเพลง AI ที่เจ้าของเสียงทั้งคู่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการทำเพลงเลย และไม่ได้ให้อนุญาตในการหยิบยืมเสียงร้องไปใช้สร้างเพลงด้วยซ้ำ
ฉันมีโอกาสได้ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่านี่เป็นเพลงที่ฟังครั้งเดียวก็ติดหูได้ไม่ยาก เพราะเสียงร้องก็เป็นเสียงของนักร้องที่เรารู้จักและชื่นชอบกันอยู่แล้ว
ทำนองเพลงก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยได้ยินได้ฟังมาโดยตลอด
ถ้าฟังเพลงนี้แบบไม่รู้อะไรมาก่อนก็คงจะไม่นึกเอะใจอะไรและคิดว่าเป็นผลงานดูโอเพลงใหม่ของนักร้องสัญชาติแคนาดานี้แน่ๆ
เพลง AI มีเยอะขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมันทำให้เกิดวิธีการหาเงินแบบใหม่ คนใช้ AI สร้างเพลงขึ้นมาด้วยการคลิกแค่ไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็สร้างบ็อตให้กดเข้ามาฟังเพลงเพื่อที่ตัวเองจะได้เงินส่วนแบ่งจากการสตรีมเพลง
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการใช้ AI สร้างเพลงให้บ็อตฟัง ไม่ได้เล็งผู้ฟังที่เป็นมนุษย์เป็นกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่แรก ทำให้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต้องเร่งไล่ลบเพลง AI ออก
หลายคนมองว่าการปล่อยให้แพลตฟอร์มสตรีมเพลงเต็มไปด้วยเพลงที่สร้างโดย AI เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้เพราะจะทำลายอุตสาหกรรมเพลงในที่สุด เมื่อรายได้บางส่วนถูกแบ่งไปให้คนทำเพลงที่ใช้แค่ AI และบ็อตก็แปลว่าส่วนแบ่งของเงินที่จะกระจายให้คนทำเพลงตัวจริงก็จะมีน้อยลง
ยังไม่รวมถึงปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ใช้ข้อมูลที่เป็นทำนองและเสียงร้องของคนจริงๆ ไปฝึก AI โดยไม่ได้รับอนุญาต ทำออกมาเป็นเพลงในสไตล์ของคนนั้นๆ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องและไม่ได้รับค่าตอบแทนแม้แต่บาทเดียว
ศิลปินที่ปรับตัวได้เร็วหน่อยก็มี อย่างเช่น Grimes ที่อนุญาตให้คนนำเสียงร้องของเธอไปใช้ฝึก AI ได้โดยทำสัญญาว่าต้องแบ่งรายได้จากการสตรีมเพลงกันคนละครึ่ง ก็นับเป็นการพบกันครึ่งทางที่น่าสนใจ ในเมื่อห้ามไม่ได้ก็เข้าร่วมด้วยเลยก็แล้วกัน
นอกจากการใช้ AI มาสร้างเพลงแล้ว AI ก็ยังมีบทบาทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเพลง อย่างเช่น การใช้ AI มาทำหน้าที่ดีเจแทนมนุษย์
Spotify ทดลองให้บริการดีเจแบบ AI ให้กับผู้ฟังในสหรัฐ และแคนาดา ในระหว่างที่เราฟังเพลงก็จะมีเสียงนุ่มๆ สไตล์ดีเจคอยพูดคั่นระหว่างเพลงให้เรารู้สึกเหมือนกำลังฟังวิทยุอยู่จริงๆ โดยโฆษณาว่าจะเป็นดีเจที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ฟังแต่ละคนด้วย
ฉันลองฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าแม้จะยังไม่ฟังสนุกจนสามารถทดแทนดีเจมนุษย์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ไม่ถึงกับแย่
ถ้าฟังเพลงเหงาๆ อยู่คนเดียวและมีเสียงแทรกแบบนี้เป็นระยะๆ เพื่อคุยกับเราก็อาจจะได้ประสบการณ์ฟังเพลงที่แปลกใหม่ดีเหมือนกัน
แต่บางคนลองแล้วรู้สึกว่ารับไม่ได้จนแทบอยากจะถอดหูฟังออกมาเขวี้ยงทิ้งก็มี
AI จะสร้างเพลงแทนมนุษย์ได้ไหม
ฉันคิดว่าขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการฟังเพลงของแต่ละคน แต่ละโอกาส
บางครั้งเราเปิดเพลงแค่เพื่อกลบความเงียบงัน เปิดสร้างบรรยากาศครึกครื้น ไม่ได้คาดหวังให้เพลงต้องสื่อสารกับตัวตนข้างใน
ในกรณีนี้จะเป็นเพลงที่มนุษย์สร้าง หรือ AI สร้าง ขอแค่ฟังแล้วรู้สึก ‘เพราะดี’ ก็โอเค
แต่ก็จะมีบางครั้งที่เพลงมีความหมายสำหรับเรามากไปกว่าแค่ทำนองที่หูได้ยิน เพราะมันคือเรื่องราวชีวิตของคนคนหนึ่งที่เรามีโอกาสได้สัมผัส ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งผ่านทำนองและเสียงร้อง
อย่างเช่น อัลบั้ม For Emma, Forever Ago โดย Bon Iver เกิดมาจากการที่ Justin Vernon รู้สึกหมดแรงบันดาลใจ จึงปลดเปลื้องพันธนาการทุกอย่างของชีวิต ลาออกจากวงดนตรี เลิกกับคนรัก แล้วขังตัวเองในกระท่อมไม้กลางป่าอันเหน็บหนาว เขียนเพลงทั้งอัลบั้มจนเสร็จ ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงฉันจะมองเห็นภาพหิมะที่ตกลงมาปกคลุมทุกอย่างขาวโพลน รู้สึกถึงความวังเวงที่แม้จะเปลี่ยวเหงาแต่ก็งดงามโดยเขาไม่ต้องใช้คำพูดบรรยายเข้าไปในเพลงเลย
หรือเพลงอย่าง Until I Found You ที่เขียนและร้องโดย Stephen Sanchez วัยแค่ 20 แต่ทำเพลงออกมาได้ราวกับหลุดมาจากยุคห้าศูนย์ ในเพลงเรียกชื่อ Georgia ชื่อของแฟนเก่าที่ถึงจะเลิกราไปแล้วแต่ก็ยังรู้สึกดีต่อกันและจะเป็นคนสำคัญของชีวิตเขาไปเสมอ เป็นเพลงที่ฉันเชื่อว่าคนที่ได้ฟังจะต้องอิ่มเอมใจที่ได้นึกถึงความรักที่สวยงามที่สุดในชีวิต หรือถ้ายังไม่มีโอกาสได้เจอความรักแบบนั้นเพลงนี้ก็อาจจะทิ้งหลุมใหญ่เอาไว้ให้รู้สึกใจหายวูบ
ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกแบบไหนแต่ผลลัพธ์ที่เพลงเหล่านี้ทิ้งไว้ให้ผู้ฟังก็คือการกระตุกเตือนให้ตระหนักว่าเราล้วนเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ มีรอยยิ้มและมีบาดแผลในชีวิตไม่แตกต่างกัน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ AI ไม่มีทางทำได้
แต่สักวันมันอาจจะ ‘เลียนแบบ’ ได้เหมือนจริงก็ได้นะคะ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022