‘พิธา-ฟีเวอร์’ การบ้านใหม่ใน ‘ฮุนเซน-ไอโอ’

ทันทีที่ประเด็นชาวเน็ตเขมรเคลมตัวเองว่า “ทิม พิธา” หรือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เขามีเชื้อสายกัมปูเจียนะ?

หือ? มากกว่าจะแค่การปั่นยอดวิวคอนเทนต์ของบรรดายูทูบเบอร์ ที่ยังโยงไปถึงสมัยเจ้าเมืองพระตะบองของพวกเสียม (สยาม) ที่ปกครองเมืองเขมรโดยพิธาเป็นลูกหลานสมาชิกตระกูลนี้-อภัยภูเบศรไปโน่น!

มันทำให้ฉันรำลึกถึงปัญหาโครงสร้างการเมืองของกัมพูชาที่ดูเหมือนว่ายังไปไหนไม่ไกลนักว่า ทิม พิธา เป็นใคร ไยสำคัญ? จนถึงว่าชาวกัมพูชาอยากเคลมเป็นพวก? ทั้งๆ ที่ทราบดีว่า จุดประสงค์นั้นน่าจะมาจากการปั่นหายอดวิวของชาวเน็ตในโซเชียล

กระนั้น ก็มีวาระซ่อนเร้นในเหลี่ยมคูการเมืองแขมร์ ต่อชัยชนะของพรรค Move Forward Party “เตยวมุข” (ก้าวไกล) ในการเลือกตั้งทั่วไปจนเป็นที่มาของว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยรายนี้ ที่น่าจะ…สั่นสะเทือนแวดวงการเมืองเขมรก็ได้ ใครจะรู้?

โดยมิพักจะบอกว่า ไม่ใช่แต่ลุงตู่เท่านั้นที่ผิดหวังตัวเอง แต่สมเด็จฮุน เซน เพื่อนข้างบ้านนั้นก็ด้วยที่ผิดหวังมากสำหรับเพื่อนลุงข้างบ้านที่พ่ายแพ้เลือกตั้งจนไม่อาจรั้งตำแหน่งผู้นำได้อีก

อุตส่าห์คัดลอกก๊อบปี้ไอเดียว่าด้วยรัฐธรรมนูญ, อำนาจ ส.ว. และการสรรหานายกฯ เอย และยุทธศาสตร์การเมืองหลายอย่างที่คล้ายกัน แต่ ฯพณฯ จันทร์โอชาก็ยังกลับมาไม่ได้

 

จะมีก็แต่สมเด็จฮุน เซน นั่นแหละ ที่แจ่มแจ้งแก่ใจในบรรดาปาหี่เรื่องการเมืองมากมาย ทั้งในแบบที่ตนสร้างขึ้นอย่างเจตนาและไม่เจตนาในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา จนถึงกับเชื่อว่า น่าจะสร้างความบาดหมางให้แก่ลุงผู้นำข้างบ้านผู้ได้ชื่อว่าเป็นพวกหัวเก่าแบบเดียวกับตน

แต่เมื่อผลเลือกตั้งออกมาเป็นเช่นที่ว่า คือ จู่ๆ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (ทิม พิธา) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพวกหัวใหม่-ฝ่ายตรงข้ามอันต่างจากตน ซ้ำยังเป็นพวกพลเรือนที่สมเด็จฮุน เซน ไม่นิยมคบหา ไล่ดูจะรู้ว่า มิตรสหายสนิทสมเด็จฮุน เซน นั้น ถ้าไม่ใช่นายทหารก็เป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์

ไม่เท่านั้น ทิม พิธา ยังหนุ่ม มีอายุห่างลูกชายคนโตของตน 3 ปี ขณะที่เขากำลังปั้นฮุน มาแนต ให้เป็นนายกฯ กัมพูชาต่อไปอยู่นั้น เจ้าหนุ่มกะเมงคนนี้-คนที่ชาวเขมรอยากเคลมมาเป็นพวก (และผู้นำของตน) ก็โผล่มาพิฆาตในแวดวงการเมือง!

โดยไม่ต้องสั่งสมประสบการณ์ใดๆ แค่เพียง 3 ปีในสภา ก็ได้ตำแหน่งมาซึ่งนายกฯ ขณะที่ฮุน มาแนต ผู้ผลาญเวลาไปกับประสบการณ์ของพ่อกว่า 2 ทศวรรษ กลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน!

โอ มันได้บ่งบอกอะไรในการนี้ สำหรับจลนาฝ่ายประชาธิปไตยในเมืองไทย ที่กลายเป็น “สึนามิ” ที่ใช่แต่จะกวาดทิ้งนักการเมืองจำแลงแฝงเผด็จการทหารเท่านั้น

แต่ยังกวาดทิ้งนักการเมืองหัวเก่าชนิดเหี้ยนเตียนสหัสวรรษ อย่างที่ไม่น่าจะเทิร์นกลับมาวงการนี้ได้อีก

และมันคือภาพหลอนของพวกหัวใหม่ที่ชวนให้หวาดวิตก สำหรับสมเด็จฮุน เซน ผู้ที่กำลังเข้าสู่การเลือกตั้งในอีก 2 เดือนข้างหน้า

แต่ต้องไม่ลืมว่า ภาพชัยชนะของจลนาประชาธิปไตยในพรรคฝ่ายค้านของไทยในการต่อสู้ทางการเมือง ย่อมส่งกระแสคลื่นที่มองไม่เห็นต่อการเลือกตั้งกัมพูชาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้ว่าเงื่อนไขเลือกตั้งกัมพูชาจะต่างไปจากไทย

แต่กระแส “พิธาฟีเวอร์” ที่เริ่มเข้าไประบาดในเขมรจะโดยเฟกนิวส์หรือไม่ก็ตาม แต่บ่งชี้ว่าพรรคการเมืองหัวก้าวหน้าของไทยที่ชื่อว่า “เตยวมุข” กำลังอาละวาดอย่างเงียบๆ ในเขมร

 

มันคือกระแสคลื่นใหม่ที่ชวนให้วิตก ไม่เพียงแต่ระบบทุนการเมืองไทย-กัมพูชาที่ต่าง “เอื้อประโยชน์” กันอย่างลับๆ ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา แต่ทันทีที่ “กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” พัดผ่านเข้ามาราวกับพายุนอกฤดูกาล

ขณะที่สมเด็จฮุน เซน นั้น เป็นที่รู้กันดีว่า หวาดระแวงมากสำหรับการตั้งรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ โดยเฉพาะสิ่งที่ชาวเขมรเรียกว่า “ปฏิวัติสี” หรือ “ปฏิวัติวัฒนธรรม”

ซึ่งเป็นเหมือน “ศัตรูหมายเลข 1” ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และเขาได้ใช้สารพัดวิธีในการ “สกรัม” หรือกำจัดฝ่ายตรงข้ามทั้งประชาชนและนักการเมืองอย่างขุดรากถอนโคนในรอบ 10 ปีมานี้

แต่แล้ว พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของไทย กลับสร้างรัฐศาสตร์ดังกล่าวขึ้นมาอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการที่มันเป็นกระแสจลนา “การเคลื่อนไหว” ในทุกมิติของชนชาวไทยจอมมาก “คอนเทนต์” และจลนาทั้งปวง!

อาจมีส่วนในการส่งสาร “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่ไม่ต่างจากปฏิวัติสี ตามสไตล์การเมืองแบบไทยๆ ซึ่งใช้โซเชียลเป็นเครื่องมือต่อสู้ โดยใครจะรู้ว่าโมเดลที่ว่านี้ อาจเป็นคู่มือฉบับใหม่ให้ชาวกัมพูชาในการต่อสู้กับระบอบฮุนเซน และว่า สิ่งนี้ทำให้ผู้นำเขมรตื่นผวาจลนาการเมืองไทย ที่อาจส่งกระแส “คลื่น” สังคมต่อการเมืองกัมพูชา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง!

โดยเฉพาะในวันที่ระบอบฮุนเซนกำลังถ่ายผ่านไปสู่ฮุน มาแนต ผู้ได้ชื่อว่า ก้าวย่างตามบิดามาตลอด 2 ทศวรรษอย่างไร้คู่ต่อกรในประเทศของตน แต่ทว่า ในวันที่โลกไร้พรมแดนบัดนี้ การเกิดขึ้นของการเมืองไทยในนามพรรคก้าวไกลและพิธา กำลังจะทำให้ฮุน มาแนต และบิดาได้เรียนรู้ยุทธศาสตร์การเมืองใหม่

และด้วยเหตุนี้หรือไม่ ที่ทำให้จู่ๆ ปฏิบัติการ IO เพื่อสกัดกั้น “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่กำลังโหมพัดมาจากทิศตะวันตกของกัมพูชาผ่านการด้อยค่าทิม พิธา ว่า “นี่คือลูกหลานคนหนึ่งของอดีตเจ้าเมืองบัตตัมบอง-ผู้ทรยศต่อประเทศของเรา?”

ไม่มีใครรู้ว่า เบื้องหลังที่มาอันลึกเร้นกว่านั้นคือ “สกรัม” อะไรสำหรับกัมพูชา?

แต่สำหรับสมเด็จฮุน เซน แห่งกัมพูชาผู้คร่ำหวอดยาวนานบนภาคการเมืองแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ในประเทศนี้และทุกมิติเสียด้วย โดยเฉพาะในวันที่การเปลี่ยนอำนาจไปสู่ทายาทกำลังจะเกิดขึ้น

ในแง่ภัยความมั่นคง ต่อระดับการเมืองกัมพูชาที่ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรให้น่าหนักใจ แต่สำหรับกระแส “ปฏิวัติสี” ที่อยู่ในจลนาก้าวไกล-พรรคเตยวมุขของไทย!

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะวางใจ! เมื่อเทียบกับกระแสปฏิวัติสีของอาหรับสปริงดินแดนที่แสนไกล แต่ก็ยังเดินทางมาถึงกัมพูชา และเกิดโมเดลลุกฮือเล็กๆ ในหมู่หนุ่มสาวในสถาบันศึกษามาแล้ว

จึงไม่ใช่เรื่องที่จะวางใจ หากว่า การมาถึงของพรรคเตยวมุขแห่งประเทศไทย จะก่อผลในทางร้ายและมีนัยยะสำคัญทางการเมืองต่อกัมพูชา เนื่องจากเป็นประเทศที่มีพรมแดนเพียงติดกัน ซ้ำร้ายด้านวัฒนธรรมยังทับซ้อนร่วมกันอีก

 

สมเด็จฮุน เซน คิดถูกแล้ว ที่เขาจะต้องหาทางหยุดยั้งกระแส “พิธาฟีเวอร์” ในไทย ที่อาจเป็นภัยพิบัติของกัมพูชาในอนาคต หากว่าวันหนึ่งการเคลื่อนไหวของ “จลนาเตยวมุข” ในไทย จะมีส่วนทำให้เยาวชนเขมรตื่นตัวกลายเป็น “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ในวันหนึ่งข้างหน้า

และใครจะรู้ว่า มันอาจจะกลายเป็นสายลมแห่งความหนักอึ้งเหลือทนในสักวันหนึ่งของกัมพูชา

วันที่จลนาฝ่ายประชาธิปไตยของประเทศนี้เติบกล้าจนเกิดความแหลมที่คมอย่างฉับพลัน เกิดเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่สามารถผลัดเปลี่ยน ด้วยเวลาที่เหมาะสม ด้วยความแหลมที่นำพาไปสู่ทิศทางเดียวกัน

ถึงเวลาที่เหมาะสมขณะศูนย์อำนาจเก่าตกลงจุดต่ำสุด จนเกิดการจนถึงคราวที่เมล็ดพันธุ์แห่งการเปลี่ยนแปลงเกิดเบ่งบานอย่างฉับพลัน!

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดกันโดยง่าย และคงอีกยาวนาน เมื่อสมเด็จฮุน เซน เขารู้ทัน!