การมีส่วนร่วมของซาอุดีอาระเบีย กับประเทศมุสลิม ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (จบ)

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม | จรัญ มะลูลีม

 

การมีส่วนร่วมของซาอุดีอาระเบีย

กับประเทศมุสลิม

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (จบ)

 

นอกจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไนแล้ว ชนกลุ่มน้อยมุสลิมจำนวนมากอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดทางใต้สุดของประเทศไทย – พื้นที่นี้มักเรียกกันว่าปัตตานี อันเป็นดินแดนที่มิได้มีความแปลกหน้าสำหรับความขัดแย้งแต่อย่างใด โดยพื้นที่เดียวกันนี้ต้องประสบกับความไร้เสถียรภาพที่รุนแรงมาหลายครั้งในศตวรรษที่ 20

โดยแท้จริงแล้ว การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ

นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อความขัดแย้งในบางยุคสมัยทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทวิภาคีกับมาเลเซียและอินโดนีเซียหลายครั้ง

องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับการจัดการความรุนแรงในภาคใต้ของประเทศไทยอยู่เนืองๆ

ต่อมาคณะผู้แทน OIC ได้แสดงความยินดีกับขั้นตอนของรัฐบาลไทยร่วมกับมาเลเซียในการเจรจาอย่างสร้างสรรค์กับกลุ่มมุสลิมในภาคใต้ เพื่อพัฒนาโรดแม็ป เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ผ่านการเจรจา (OIC, 2018)

ปัจจุบัน มาเลเซียมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มผู้เห็นต่างในมาเลย์

นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมในภาคใต้ยังมองหาการสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบียและ OIC ต่อมาเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปว่าซาอุดีอาระเบียเลือกที่จะปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยให้เป็นปกติ

ความเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ให้เครดิตแก่เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS) มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งกลายเป็นผู้นำของประเทศในปี 2015 เที่ยวบินตรงระหว่างสองประเทศได้กลับมาดำเนินการอีกครั้งเป็นครั้งแรก ในรอบ 32 ปี ซาอุดีอาระเบียยกเลิกการห้ามนำเข้าไก่ไทย ขณะที่ไทยยกเลิกข้อกำหนดวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบีย

รัฐบาลทั้งสองประเทศยังตกลงที่จะร่วมมือกันจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับหกประเทศสมาชิกของสภาความร่วมมือแห่งอ่าว (GCC) ที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย

เป็นที่คาดหมายกันโดยทั่วไปได้ว่าหลังจากการทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างซาอุดีอาระเบียและไทยเป็นปกติแล้ว OIC และรัฐบาลซาอุดีอาระเบียจะสามารถมีส่วนร่วมมากขึ้นในการเจรจาสันติภาพในความขัดแย้งทางภาคใต้ของประเทศไทย

 

ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วม

ของซาอุดีอาระเบียและจีน

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่พึ่งพาเศรษฐกิจจีน ด้วยเหตุนี้จีนจึงมีความสำคัญทางรัฐศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง จีนได้กลายเป็นคู่ค้าอันดับต้นๆ และเป็นแหล่งการลงทุนโดยตรงในมาเลเซียที่มาจากต่างประเทศ

การมีส่วนร่วมของซาอุดีอาระเบียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้ทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียมีโอกาสที่จะลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจที่ฝังลึกกับจีนได้ในระดับหนึ่ง

จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย โดยการค้าทวิภาคีมีมูลค่าทะลุ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.6 เมื่อเทียบเป็นรายปี

จีนเป็นตลาดหลักสำหรับสินค้าของอินโดนีเซีย เช่น น้ำมันปาล์ม ถ่านหิน เหล็กกล้า รังนก กาแฟ และผลไม้เมืองร้อน

นอกจากนี้ ตามรายงานของรอยเตอร์ (2022) ในเดือนพฤศจิกายน พบว่าบริษัทอินโดนีเซีย 9 แห่งได้ลงนามในสัญญาขายผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม 2.5 ล้านตัน มูลค่า 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับผู้ซื้อชาวจีน 13 ราย การมีส่วนร่วมของจีนเชื่อมโยงกับการมีส่วนร่วมของซาอุดีอาระเบียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อาจกล่าวได้ว่าจีนมีความสนใจอย่างลึกซึ้งในภูมิภาคอาเซียน จีนแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำอาเซียนคนแรกและจัดตั้งคณะผู้แทนที่สำนักเลขาธิการอาเซียนในกรุงจาการ์ตาเมื่อเดือนกันยายน ปี 2012

อาเซียนและจีนยังคงส่งเสริมการเจรจาและความร่วมมือด้านความมั่นคงทางการเมืองผ่านกลไกต่างๆ ของอาเซียนบวกหนึ่ง

นอกจากนี้ การลงทุนของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย

ตามรายงานที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้วโดยบริษัทวิจัย Asia House ของอังกฤษ พบว่าจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของซาอุดีอาระเบีย โดยมีมูลค่าทางธุรกรรมรวม 72.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 และเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รองจากอินเดีย 50.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ในอนาคต มีการคาดการณ์กันว่าจีนและซาอุดีอาระเบียจะสามารถยกระดับความสัมพันธ์พหุภาคีในประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างเห็นเป็นรูปธรรม

ปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชาวมุสลิมมากกว่า 240 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 42 ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประมาณร้อยละ 25 ของชาวมุสลิม 1.6 พันล้านคนทั่วโลก

ชาวมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เป็นผู้ถือสำนักคิดซุนนี และปฏิบัติตามสำนักคิดชาฟิอี ซึ่งเป็นหลักนิติศาสตร์มุสลิมที่ได้รับความนิยมอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อิสลามเป็นศาสนาทางการของมาเลเซียและบรูไน และเป็นศาสนาที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากอินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์

ควรจะกล่าวด้วยว่าชาวมุสลิมมองว่าตนเองเป็นสมาชิกของชุมชนโลก (อุมมะฮฺ) ซึ่งถูกมองว่าอยู่เหนือชาติ ชาติพันธุ์ ชนชั้น เพศ และอัตลักษณ์อื่นๆ

ความผูกพันกับอิสลามข้ามชาตินี้ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินมากขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการฟื้นฟูอิสลามที่ขับเคลื่อนชุมชนทั่วโลกมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นตัวขึ้นจากความกังวลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวมุสลิมและศาสนาอิสลามทั่วโลก

อาจกล่าวได้ว่าผู้นำซาอุดีอาระเบียในปัจจุบันมีแนวทางปฏิบัติมากกว่าในการกำหนดลำดับความสำคัญของตนเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังเน้นย้ำจากเศรษฐกิจฐานการตลาดไปสู่การพัฒนาเชิงเทคโนโลยีและภาคบริการ การจัดลำดับความสำคัญนี้จะช่วยรับประกันว่าราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียจะยังคงมีอิทธิพลต่อโลกมุสลิม

รวมทั้งสร้างดุลอำนาจกับมหาอำนาจอื่นๆ ได้ในเวลาเดียวกัน