เปิดคำพิพากษา 3 คดี ยกฟ้อง ‘หลงจู๊สมชาย’ บ่อน-ฟอกเงิน-จ้างฆ่า อัยการเตรียมอุทธรณ์

กลายเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจกับบทสรุปที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษา

สำหรับคดีที่เกี่ยวพันกับนายสมชาย จุติกิต์เดชา หรือหลงจู๊สมชาย ผู้กว้างขวางในภาคตะวันออก ที่ล่าสุดศาลอาญาพิพากษายกฟ้องในคดีร่วมกันฟอกเงินและ พ.ร.บ.การพนัน

จากพฤติกรรมการเปิดบัญชีธนาคารรับโอนเงินกว่า 130 ล้านบาท และมีหลักฐานว่ามีการโอนเงินผ่านเครือข่ายถึง 8 พันครั้ง

โดยศาลอาญาสั่งยกฟ้องหลงจู๊สมชาย เพราะเชื่อว่าประกอบอาชีพให้กู้ยืมเงินจริง ส่วนเรื่องพัวพันเรื่องเงินพนัน ก็เป็นพยานบอกเล่า

ซึ่งทางตำรวจก็ตั้งข้อสังเกตว่ามีการตัดพยานปากเอกไปถึง 3 ปาก

ไม่เพียงเท่านั้น คดีของหลงจู๊สมชายที่ถูกยกฟ้องครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 3 ต่อจากคดีฟอกเงินและการพนันอีกคดี และคดีจ้างวานฆ่า

กลายเป็นคำถามถึงการรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ ตลอดจนการสั่งฟ้องและดำเนินคดีในชั้นศาล ว่ามีข้อบกพร่องอย่างไร ทั้งโดยจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม

หรือไม่เช่นนั้นที่ผ่านมา “หลงจู๊สมชาย” ก็เป็นผู้บริสุทธิ์มาตลอด แต่กลับถูกกระบวนการยุติธรรมเล่นงาน

ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ชัดเจน เพื่อคืนความยุติธรรมให้ผู้ถูกกล่าวหา ไม่ให้เกิดข้อครหาใดๆ ได้อีกต่อไป

ไม่ใช่บ่อน

ศาลยกฟ้อง ‘หลงจู๊สมชาย’

สําหรับคดีล่าสุดของ “หลงจู๊สมชาย” นายสมชาย จุติกิติ์เดชา นั้น ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม โดยเป็นความผิดคดีร่วมกันฟอกเงิน-พ.ร.บ.การพนัน หมายเลขดำ อ.1429/2564 โดยพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายสมชาย บริษัท เดอะแคปปิทอล จำกัด น.ส.จุฑามาศ วงษ์นิยม น.ส.อุไรวรรณ วงษ์นิยม นายวราวุธ วรวุฒิปรีชาเวชช์ น.ส.นภัสสร ปรุโปร่ง และนายธนา จุติกิติ์เดชา บุตรชายนายสมชาย เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกัน ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน, พ.ร.บการพนัน

โดยอัยการสรุปคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2562-30 มิถุนายน 2563 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-3 กับพวกที่ยังหลบหนีร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนัน ไฮโล บาคารา สล็อตแมชชีน ไพ่เสือ มังกร โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่บ่อนการพนัน RJ มาบตาพุด ซ.ธนาคารธนชาติ ถ.สุขุมวิท ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง

โดยเปิดบัญชีธนาคาร 3 แห่ง เพื่อรับโอนเงินจากนักพนันเพื่อนำไปซื้อชิปแทนเงินสด หลายครั้ง รวม 132,735,053 บาท นอกจากนี้ ยังร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินโดยโอนเงิน เบิกถอน จ่ายโอนเงินลักษณะสมคบกันเพื่อปกปิดแหล่งที่มา เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่ออำพรางผ่านบุคคลและเครือญาติผ่านบัญชีธนาคารต่างกรรมต่างวาระกัน 8,828 ครั้ง รวมยอดเงิน 232,746,053 บาท

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 และ 7 จากพยานหลักฐานที่เบิกความสนับสนุน ต่างไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เชื่อตามพยานโจทก์ และพยานจำเลย เบิกความว่า นายสมชายประกอบอาชีพให้กู้ยืมเงินจริง

ส่วนพยานโจทก์ผู้สืบสวนเส้นทางการเงิน ล้วนแต่เป็นการรวบรวมคำให้การของนักพนัน จากการสืบสวนหาข่าว ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าทั้งสิ้น พยานโจทก์ไม่ได้รู้เห็นด้วยตนเอง จึงฟังมีน้ำหนักน้อย

ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าบัญชีธนาคารในบัญชีชื่อนายน้อย (เจ้าของบัญชีที่ใช้รับโอนเงิน ที่ยังหลบหนี) เปิดขึ้นโดยเจตนาสมคบฟอกเงินเป็นการเฉพาะ แต่กลับฟังได้ว่าเป็นการใช้บัญชีธนาคารตามปกติ พฤติการณ์ส่อแสดงว่าเป็นการโอนเงินเพื่อชำระหนี้กันตามกฎหมาย พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 7 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน

เจอห้องใต้ดิน

จับตาอัยการยื่นอุทธรณ์

ส่วนจำเลยที่ 2 พยานโจทก์ยืนยันไม่ได้ว่าการโอนเงินจำเลยที่ 1 และ 7 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ได้มาจากการเล่นพนัน หรือเจตนาเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่อซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มา จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน

จำเลยที่ 3, 4 เมื่อพิเคราะห์ถึงจำนวนเงินโอนผ่านเจ้าของบัญชีชื่อนายน้อย ก็ฟังได้ความว่ามีอาชีพให้กู้ยืมเงินรับซื้อ-ขายที่ดิน จึงมียอดโอนเข้าบัญชีหลายรายการ เมื่อตรวจดูรายการเดินบัญชีไม่พบการทำธุรกรรมด้านการเงินที่ผิดปกติ จำนวนเงินได้รับโอนไม่สูงมาก การโอนเงินจึงอาจเป็นการชำระหนี้ตามกฎหมายก็ได้ พยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3-4 ได้รับเงินโดยรู้ว่ามาจากการจัดให้มีการเล่นพนันหรือฟอกเงิน หลักฐานฟังไม่ได้ว่าร่วมกระทำความผิด

จำเลยที่ 5 รับฟังได้ว่าได้รับเงินโอนจากนายน้อย โดยรู้ว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการจัดให้มีการเล่นพนัน จำเลยที่ 6 รับสารภาพว่ารับโอนเงินจากนายน้อย 7 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 6 รับทราบว่าเป็นเงินจากการเล่นพนัน พิพากษาว่าจำเลยที่ 5, 6 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5(1), (2), 60 ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำเลยที่ 5 กระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน สองกระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 6 กระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน 7 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 7 ปี จำเลยที่ 6 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 ปี 6 เดือน

ยกฟ้องจำเลยที่ 1-4 และที่ 7

เป็นการยกฟ้องคดีครั้งที่ 3 ติดต่อกัน

ขณะที่ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. ยืนยันว่าสำนวนของพนักงานสอบสวนไม่ได้อ่อน ที่ผ่านมามีการรวบรวมพยานหลักฐานแน่นหนาอย่างชัดเจนในการกระทำความผิด จนอัยการสั่งฟ้อง

“แต่ในชั้นพิจารณา กลับมีการตัดพยานปากเอกไป 3 ปาก ที่เป็นตำรวจชุดสืบสวน 2 นาย และพนักงานสอบสวน 1 นาย ซึ่งเป็นตำรวจที่ทำคดีบ่อนการพนัน RJ ที่ มาบตาพุด จังหวัดระยอง”

ด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เจ้าของสำนวน จะไปคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม และเจ้าของสำนวนจะทำความเห็นว่า คดีสมควรอุทธรณ์หรือไม่ ส่งไปยังสำนักงานอัยการคดีศาลสูง เป็นผู้พิจารณาว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์หรือไม่

รอผลสรุปทางคดีอีกครั้ง!!

จับหลงจู๊สมชาย

ย้อนอีก 2 คดีจ้างฆ่า-บ่อนพนัน

โดยก่อนหน้านี้ เคยมีคดีที่เกี่ยวกับหลงจู๊สมชาย ถูกยกฟ้องมาแล้ว 2 คดี ได้แก่ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ศาลอาญาพิพากษาคดีจ้างวานฆ่าหนุ่มวินจักรยานยนต์ โดยอัยการฟ้องในความผิดฐานร่วมกันใช้ จ้างวาน ให้ฆ่าผู้อื่นตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยมีนายมนัส อิ่มนำ อายุ 41 ปี ชาว จ.ชลบุรี มือปืน เป็นจำเลยที่ 2

พร้อมบรรยายฟ้องระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15-28 กรกฎาคม 2563 นายถาวร สาระกูล และนายสุพรรณ ใหม่งาม ที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันใช้จ้างวานนายมนัส จำเลยที่ 2 กับนายนิพนธ์ ปานทอง (หลบหนี) วางแผนฆ่านายประทุม สอาดนัก อาชีพขี่วิน จยย.รับจ้าง โดยเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน จ้างวานเป็นเงิน 200,000 บาท

นายมนัส จำเลยที่ 2 กับพวกตกลงรับงานฆ่า ต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2563 เวลากลางวัน นายมนัสกับพวกใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นพีซีเอ็กซ์ สีน้ำเงิน ติดแผ่นป้ายทะเบียนป้ายแดง 1 คัน มีนายนิพนธ์เป็นคนขี่ ส่วนนายมนัส จำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายสะกดรอยติดตามรถจักรยานยนต์ของนายประทุม ที่กำลังขี่ไปส่งผู้โดยสารหญิงในซอยพัทยาใต้ 17 หลังโรงเรียนเมืองพัทยา 8 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

จากนั้นนายมนัสใช้ปืนไทยประดิษฐ์ยิงนายประทุม 1 นัด ก่อนหลบหนีไป โดยมีสาเหตุความแค้นที่นายประทุมแอบไปถ่ายรูปบ่อนพนันแห่งหนึ่งในพัทยาเพื่อเอาไปแฉจนเกิดความไม่พอใจ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยว่านายสมชาย จำเลยที่ 1 เป็นผู้จ้างวาน ให้จำเลยที่ 2 กับพวกไปฆ่าผู้ตายหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ส่วนจำเลยที่ 2 ลงโทษประหารชีวิต ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

อีกคดีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ศาลอาญา พิพากษาคดีลักลอบตั้งบ่อนการพนัน โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานโจทก์และพนักงานสอบสวนไม่ได้ให้การพาดพิงไปว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ส่วนข้อหาฟอกเงินนั้น ในส่วนจำเลยที่ 1, 2, 4 พยานโจทก์ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เช่นกัน

พิพากษายกฟ้อง

ทั้งนี้ คดีของหลงจู๊สมชาย โด่งดังขึ้นในช่วงปี 2563-2564 เมื่อพบว่ามีการลักลอบเปิดบ่อนการพนันใน จ.ระยอง และหลายพื้นที่ในภาคตะวันออก ทั้งที่เป็นช่วงที่โควิดระบาด เมื่อตรวจสอบ นอกจากพบความผิดเรื่องการเปิดบ่อนการพนัน และพบว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนายประทุม วิน จยย.

ต่อมา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล โดยเวลานั้นเป็น ผบช.ก. สั่งการให้ ตร.บุกเข้าจับกุมนายสมชายที่บ้านพักใน จ.ระยอง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ซึ่งก็ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมเรื่อยมา

จึงกลายเป็นคำถามว่าเหตุใดการดำเนินคดีทั้ง 3 คดี ถึงออกมามีบทสรุปเดียวกันว่าพยานหลักฐานไม่ชัดเจน ไม่เพียงพอในการเอาผิด

เป็นข้อบกพร่องตามกระบวนการอย่างไร หรือแท้จริงแล้ว หลงจู๊สมชายเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกล่าวหา

เป็นเรื่องที่ต้องทำให้กระจ่างต่อไป!!!