ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ดังได้สดับมา |
ผู้เขียน | วิเวกา นาคร |
เผยแพร่ |
หลังลาสิกขาจาก “เขมะโพธินันโท ภิกขุ” มาเป็น เสถียร โพธินันทะ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2494 ก็ได้รับการพิจารณาบรรจุเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสงฆ์
นั่นก็คือ สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
ปรากฏตามข้อเขียนของนักศึกษา สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ซึ่งจัดพิมพ์ภายใต้หัวข้อ “แด่—บุรุษอาชาไนย” เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2510
เรานักศึกษา ม.ม.ร.ทุกรุ่นที่เข้าศึกษาในสภาการศึกษาฯ ก็มักจะคุ้นกับหน้าตาของอาจารย์ในฐานะอาจารย์ผู้ประสาทวิชาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาและปรัชญามหายาน
แม้ว่าขณะนั้นวัยของท่านจะดูยังเป็นเด็กอยู่ แต่เราก็เรียก “อาจารย์” ได้อย่างสนิทปาก
เพราะท่านผู้นี้แม้ว่าเรือนร่างจะบอบบาง ดูเป็นเด็กหนุ่มอยู่ก็ตาม แต่ว่า—สวมวิญญาณปรัชญาเมธีเอกไว้ในหัวใจ พวกเราเลื่อมใสในอุดมการณ์ของท่านผู้นี้มาก
ท่านผู้นี้มีบุคลิกภาพหลายอย่างที่ควรแก่การเสวนา
ผู้ที่เข้าใกล้ท่านผู้นี้จะรู้สึกว่าช่างเป็นสุขและอุ่นใจ เพราะใบหน้าอิ่มและดูผ่องใสอยู่เสมอ เมื่อถือตามหลักโบราณไทยแล้ว อาจารย์ก็คือ “ผู้มีบุญญาธิการมาก” นั่นเอง
เราศรัทธาในท่านผู้นี้มิใช่เรือนร่างกายอันเก๋เหมือนเจ้าชาย หากแต่เราคิดในใจใน 1 ความเป็นคนเปรื่องปราด
1 วาทะอันมีเสน่ห์และพราวไปด้วยเหตุผล เร้าให้เกิดความสนใจให้ผู้ฟังได้เห็นภาพพจน์เด่นชัด
1 ความเป็นคนตรงต่อเวลาและมีความกระฉับกระเฉง
1 ผิวพรรณผุดผ่องชวนให้เสวนา 1 ความเป็นผู้สมบูรณ์ทั้งความรู้และความประพฤติ 1 การแต่งกายปอนๆ 1 ความเป็นนักศาสนาและนักอุดมคติ
เรามิได้กล่าวเกินความจริงไปเลย เพราะนี่เป็นเพียง 1 ใน 10 ของคุณลักษณะพิเศษของนักปราชญ์หนุ่มผู้นี้
คำว่า “เรา” ในที่นี้หมายถึง “นักศึกษา”
ข้อเขียนประหนึ่งคำไว้อาลัยนี้ลงนามโดย “คณะกรรมการนักศึกษา ม.ม.ร.” ลงวันที่ 5 มกราคม 2510
เหมือนจะเป็นคำสดุดียกย่อง อันเป็นปรกติธรรมดาของ “คำไว้อาลัย” แต่เมื่อนำแต่ละรายละเอียดที่คณะกรรมการนักศึกษาได้ประมวลมาประสานเข้ากับรายละเอียดอันปรากฏในบทสรุปของ สุชีพ ปุญญานุภาพ
นับว่าตรงกัน
ในตอนว่าด้วย “วาทะมีเสน่ห์” พวกเขาระบุว่า ไปบรรยายที่ไหนจะมีแฟนตามไปฟังแน่นขนัด ต้องเสริมเก้าอี้
หรือไม่ก็ยืนตามระเบียบห้องประชุม
เพราะวาทะมีกังวาน—กิริยาท่าทีไม่อืดอาด แม้จะพูดเรื่องนรก-สวรรค์อันเป็นภูมิที่ไม่มีใครไปเห็น แต่ท่านก็พูดเหมือนไปเห็นด้วยตามาแล้ว
น่าสนใจก็ตรงที่ “การแต่งกายปอนๆ” ก็กลายเป็น “เสน่ห์”
“วัดปิดประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศครั้งที่ 4 พ.ศ.2502 ณ ศาลาสันติธรรม ก่อนปิดประชุมขณะที่ คุณสมพร เทพสิทธา กำลังขอให้ที่ประชุมพิจารณาเรื่องราวตามระเบียบวาระ ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายสีขาวทั้งชุด กางเกงขายาว เสื้อฮาวายปล่อยชายได้เข้ามาข้างหลังแล้วกระซิบให้รวบรัด
“ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอันสำแดงถึงความเบิกบานแห่งอารมณ์และความเป็นกันเองของชายหนุ่มผู้นั้น ทำให้ข้าพเจ้าอดกระซิบถามคุณสมพรไม่ได้ว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร วาระนั้นข้าพเจ้าจึงได้รู้จัก คุณเสถียร โพธินันทะ”
“เพชรน้ำหนึ่งของวงการพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย”
ข้อความปิดท้ายเป็นข้อเขียนในชื่อ “ค่าแห่งการสูญเสีย” ของ อำนวย อินทุภูติ รองประธานคณะกรรมการอำนวยการสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ
เป็นเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อปี 2502
พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานว่า “ยุวพุทธิกสมาคมทั้งมวลจะรอคอยการกลับมาของ คุณเสถียร โพธินันทะ ด้วยความหวัง จนกว่าจะถึงวันนั้น”
เป็นการเขียนไว้อาลัยในเดือนพฤษภาคม 2510