อำลา เปี่ยม อาวรณ์ เส้นทาง ลี้คิมฮวง อาฮุย แยกทาง เพื่อพานพบ

บทความพิเศษ

 

อำลา เปี่ยม อาวรณ์

เส้นทาง ลี้คิมฮวง อาฮุย

แยกทาง เพื่อพานพบ

 

โดยคำประกาศตน “ตอเช้งเกี่ยม บ้อเช้งเกี่ยม” เป็นยุทธนิยาย สะท้อนชีวิตผู้คนในยุทธจักร หรือที่ ว. ณ เมืองลุง เรียกว่า “วงนักเลง”

ขณะที่กระบวนการปรากฏท่วงทำนอง “อาชญนิยาย” ในเส้นทางของ “นักสืบ”

ภาระหน้าที่ของลี้คิมฮวงในการหวนคืนจากนอกด่านเข้ามาก็คือ การสืบหา “โจรดอกเหมย” ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

เป็นคนเดียวกันกับที่เคยเคลื่อนไหวเมื่อ 30 ปีก่อนหรือไม่

การไขความผ่านกระบวนการของ “ชอว์ บราเดอร์” เมื่อเป็นหนังอันมีตี้หลุงนำแสดง ยืนยันว่าลี้คิมฮวงกลับเข้ามาเพราะห่วงใย “ลิ่มซีอิม”

เกรงว่าการอาละวาดของ “โจรดอกเหมย” จะกระทบต่อ “นาง”

ขณะที่หากติดตามแต่ละบทของยุทธนิยาย “โกวเล้ง” มิได้แสดงออกโดยตรงหากแต่สะท้อนผ่านท่วงท่าและอากัปกิริยาของมัน

นี่ย่อมปรากฏในบทที่ 1 ว่าด้วยมีดบินกับกระบี่ไว

 

ขวดสุราว่างเปล่าแล้ว ลี้ชิ้มฮัวค่อยล้วงมีดเล็กๆ ออกมาเล่มหนึ่ง เริ่มแกะสลักท่อนไม้ในมือเป็นรูปคน

คมมีดบางเบาและคมกริบ นิ้วมือของเขาเรียวยาวและมีพลัง

นี่เป็นรูปเหมือนของสตรีนางหนึ่ง ภายใต้ฝีมือแกะสลักอันชำนิชำนาญของลี้ชิ้มฮัว เค้าใบหน้าและลายเส้นดูไปอ่อนช้อยและสวยงาม

คล้ายกับมีชีวิตก็มิปาน

ลี้ชิ้มฮัวมิเพียงให้ลายเส้นอันรัดรึงใจแก่ “นาง” ทั้งยังให้ชีวิตและวิญญาณแก่ “นาง” เพียงเพราะชีวิตและวิญญาณของเขาได้มลายหายไปใต้คมมีดอย่างเงียบงัน

ลี้ชิ้มฮัวไม่เยาว์วัยอีกแล้ว

ที่หางตาของเขาปรากฏรอยย่น รอยย่นแต่ละเส้นยังเต็มไปด้วยความทุกข์ตรอมหม่นหมอง และคราเคราะห์ของชีวิต

มีแต่ดวงตาของเขาที่ยังหนุ่มแน่น เยาว์วัย

ในที่สุด รูปแกะสลักสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ลี้ชิ้มฮัวมองดูรูปสลักอย่างซึมเซา ไม่ทราบมองดูเป็นเวลานานเท่าใด

จากนั้นพลันเปิดประตูรถกระโดดลงไป

ลี้ชิ้มฮัวกลับขุดหลุมบนพื้นหิมะหลุมหนึ่ง ฝังรูปที่เพิ่งสลักเสลาเสร็จสิ้นลงไป จากนั้นยืนอยู่หน้าหลุมอย่างซึมเซา ที่ฝังอยู่ใต้หลุมหิมะนี้คล้ายกับเป็นญาติสนิทที่สุดของเขา

เมื่อเขาฝัง “นาง” ชีวิตของเขาเองก็แปรเปลี่ยนเป็นไร้คุณค่า ความหมาย

 

บทพิสูจน์ 1 ในกาลต่อมา บ่งบอกอย่างเด่นชัดว่า แม้จะสลักเสลาอย่างงดงามยิ่ง แต่ในความเป็นจริงก็เป็นรูปสลักที่ไม่สำเร็จครบถ้วน

ประหนึ่งกับเป็นรูปที่ “สลัก” ไม่สมบูรณ์

ขณะเดียวกัน บทพิสูจน์ 1 ย่อมยืนยันอย่างเด่นชัดไม่ปิดบังอำพรางว่า “โกวเล้ง” นำเอาฉากตอนอันสุดสะเทือนใจนี้มาจากที่ใด

นั่นย่อมเป็นบทบาทของ “มูซาชิ” เมื่อแกะรูปของ “โอตสุ”

เป็นรักเพียงหนึ่งเดียวของโอตสุที่ฝังจิตประทับใจ เป็นความฝังจิตประทับใจเพราะทั้งสองต้องกระบวนการลวงหลอกจาก “สหาย”

เพียงแต่มูซาชิสลักผ่านดาบ ขณะที่ลี้คิมฮวงผ่านมีดสั้น

ขณะที่กล่าวสำหรับรักของมูซาชิแม้จะผิดหวังในเบื้องต้น แต่ภายหลังทั้งสองก็สมหวังตามความปรารถนา

ตรงกันข้ามกับลี้คิมฮวงกลับเป็นรักไม่สมหวัง

แม้จะเป็นรักที่ไม่สมหวัง กระนั้น ความเข้าใจของลิ่มซีอิมต่อลี้คิมฮวงก็เป็นที่กระจ่างภายใต้ท่วงทำนองรักย่อมเข้าใจในรัก

ได้ “ครองรัก” แต่มิได้ “ครองเรือน” ร่วมกัน

 

คําถามก็คือ “อย่างไรหรือคือคำตอบอันปรากฏใน” ตอเช้งเกี่ยม บ้อเช้งเกี่ยม” เราสามารถเสาะหาได้ 2 คำตอบที่สำคัญ

คำตอบ 1 คือความเป็นจริงอันเนื่องแต่ “โจรดอกเหมย”

คำตอบ 1 คือความเป็นจริงจากวิถีดำเนินของลิ่มเซียนยี้ประสานเข้ากับบทบาทของเล้งโซ่วฮุ้นและบรรดาสหาย

จำแนกแยกแยะ วิญญูชน เด่นชัด วีรชน เด่นชัด

ความพยายามในการคลี่คลายไปยังรากที่มาของ “โจรดอกเหมย” ขึ้นอยู่กับฝีมือและความสามารถของลี้คิมฮวง

ประสานการหนุนช่วยอยู่ข้างๆ ของอาฮุย

บรรดาเรื่องราวของโจรดอกเหมยล้วนแวดล้อมอยู่โดยรอบกับกระบวนการของลิ่มเซียนยี้โดยมีเล้งโซ่วฮุ้นพยายามเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งพยายามเก็บเกี่ยวยิ่งสูญเสีย

ปมเงื่อนอยู่ตรงที่ความพยายามในการไขคดีอันเนื่องแต่ “โจรดอกเหมย” ประสบความสำเร็จหรือไม่

ในทางรูปแบบถือได้ว่าสำเร็จ เสร็จสิ้น

แต่ในทางความเป็นจริง เรื่องราวกลับยืดเยื้ออย่างน่ากังวลโดยเฉพาะต่อชีวิตอันซื่อใสและบริสุทธิ์อย่างยิ่งของอาฮุย

คำพรรณนาของ “โกวเล้ง” ในห้วงท้ายจึงเหมือนกับจบ แต่กลับเป็นการเริ่มต้น

 

วิกาล วิกาลอันมืดมิด มีแต่บนหอน้อยเท่านั้นยังจุดโคมไฟอยู่ดวงหนึ่ง ลี้คิมฮวงมองดูแสงโคมที่มองแต่ไกลคล้ายไฟปีศาจ

มิทราบเนิ่นนานปานใด พลันล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปาก

ไอไม่หยุดยั้ง โลหิตสดๆ ติดเต็มผ้าเช็ดหน้าแพรเฉกเช่นกับเป็นดอกเหมยโรยราที่ถูกลมกระโชกหล่นลงบนพื้นหิมะ ลี้คิมฮวงซุกผ้าเช็ดหน้าไว้ในแขนเสื้อเบาๆ ยิ้มพลางกล่าว

“ข้าพเจ้าพลันไม่ต้องการเข้าไปแล้ว”

อาฮุยคล้ายดั่งมิได้รู้สึก เสียงหัวร่อของลี้คิมฮวงเจ็บช้ำขมขื่นปานใดยังคงถาม “ในเมื่อท่านมาแล้วไฉนไม่เข้าไป”

ลี้คิมฮวงกล่าวเสียงราบเรียบ

“เรื่องราวที่ข้าพเจ้ากระทำ บางครั้งไม่มีสาเหตุใดเลย กระทั่ง ข้าพเจ้าเองก็อธิบายไม่ถูก”

ดวงตาของอาฮุยในความมืดมองแล้วคล้ายเป็นกระบี่อันคมกริบ

วาจาของอาฮุยก็คล้ายกระบี่ โดยกล่าวว่า “เล้งโซ่วฮุ้นทรยศต่อท่านถึงปานนี้ ท่านไม่ต้องการหามัน”

ลี้คิมฮวงกลับแย้มยิ้ม กล่าว

“มันหาได้ทรยศต่อข้าพเจ้าไม่ คนใดที่เห็นแก่บุตร ภรรยาของตัวเอง มิว่ากระทำเรื่องราวใดไปต่างมีค่าให้ผู้อื่นอโหสิทั้งสิ้น”

นี่ย่อมเป็น “ห่วง” อันอยู่ในใจของ “ลี้คิมฮวง”

 

อาฮุยถลึงมองลี้ชิ้มฮัว เนิ่นนานค่อยก้มศีรษะลงช้าๆ กล่าวอย่างสะทกสะท้อนว่า “ท่านเป็นบุคคลที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ แต่ก็เป็นมิตรสหายที่ไม่มีผู้ใดลืมเลือนได้”

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มพลางกล่าว

“ท่านย่อมไม่ลืมเลือนข้าพเจ้า ทั้งนี้เพราะภายหน้าพวกเรายังจะพบหน้ากันอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าทราบว่าท่านมีเรื่องหนึ่งคิดกระทำ ท่านเชิญตามสะดวกเถอะ”

ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล่าววาจาอีก

ลมหนาวพัดผ่านพสุธา เสียงลมคล้ายสะอื้นรำพัน ที่ห่างไกลบังเกิดเสียงเคาะเกราะบอกโมงยามดังอย่างอ้างว้างไกลลิบลับ

ราวกับเสียงน้ำตาหยดหยาดลงบนใบไม้แห้ง

ทั้งสองยังคงยืนหันหน้าเข้าหากัน ในดวงตาที่กระจ่างสุกใสปรากฏกลุ่มหมอกขึ้น ไม่มีประกายดาว ไม่มีแสงเดือน

คงมีแต่หมอก

เป็นการเผชิญหน้าในลักษณะที่ลี้คิมฮวงก็รู้ว่าตนเองได้กล่าวไปหมดสิ้นแล้ว เป็นการเผชิญหน้าที่อาฮุยยากจะกล่าววาจาใดออก

มันจึงไม่กล่าววาจาใดๆ อีก

หันกายพุ่งปราดจากไป คงเหลือแต่ลี้ชิ้มฮัวคนเดียว ยืนอยู่ในความมืดมิดเพียงเดียวดาย ร่างกายและชีวิตจิตใจของลี้ชิ้มฮัว

คล้ายถูกกลืนอยู่ในความมืดมิด

 

มองจากด้านของลี้คิมฮวงมันต้องการพบและสนทนากับอาฮุยอย่างยืดยาวอีกแน่นอน แต่รู้อยู่เป็นอย่างดีว่าความปรารถนานี้ใช่ว่าจะราบรื่น

มองจากด้านของอาฮุยยิ่งยากจะกล่าว

เนื่องจากเป้าหมายของมันอยู่ที่ตึกน้อยหอมเย็น ซึ่งในกาลก่อนอาจเคยเป็นที่พำนักของลี้คิมฮวง สหายของมัน

แต่ ณ บัดนี้กลับมีแต่ลิ่มเซียนยี้อยู่

ไม่ว่าจะมองจากด้านของลี้คิมฮวง ไม่ว่าจะมองจากด้านของอาฮุย มันล้วนรับรู้ว่าจะต้องประสบกับอะไร

หรือว่านี่เป็นชะตากรรม หรือว่านี่เป็นภาระเป็นห่วงที่จะต้องแบกรับ