คุยกับ ‘ศุภณัฐ มีนชัยนันท์’ในกระแสฮอตทั้งส่วนตัวและพรรค ทำไมถึงต้อง ‘ก้าวไกล’ ?

นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักแบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ด้วยหน้าตาและกระแสไวรัลในโซเชียลที่ถึงขีดสุด

เป็นเหตุให้ มติชนสุดสัปดาห์ จับเข่าสนทนาและค้นหาว่าเขามีมุมมองการเมืองอย่างไร

ศุภณัฐเล่าจุดเริ่มต้นว่า ผมอยากเปลี่ยนแปลงประเทศ อยากปฏิรูปการศึกษา โดยเชื่อว่าถ้าเกิดมีคนที่มีความรู้ มีความสามารถ มีความตั้งใจ เราจะสามารถเข้าไปผลักดันและแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้

สำหรับการตัดสินใจลงการเมือง ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร คือส่วนตัวต้องบอกว่า ผมมีความตั้งใจแต่ด้วยโอกาสและจังหวะ เพราะว่าการทํางานการเมืองนั้น คุณต้องมาทําเต็มๆ จะมาทําครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ แล้วคุณต้องพร้อมที่จะเข้าไปลุยในปัญหาจริงๆ ต้องพร้อมรับฟังปัญหาพี่น้องประชาชน พร้อมหาแนวทางแก้ไข พร้อมสู้เพื่อพวกเขาจริงๆ เป็นตัวแทนของพวกเขา

เพราะฉะนั้น ผมต้องถามย้ำตัวเองว่า “ผมพร้อมแล้วหรือเปล่า” ผมมั่นใจหรือเปล่า ผมทิ้งธุรกิจทุกอย่างออกไปได้หรือเปล่า เพื่อที่จะพร้อมไปแก้ปัญหาให้เขา

และในขณะเดียวกัน ถ้าผมพร้อมชนกับปัญหา แล้วมันกระทบคนอื่นๆ ผมจะมี mindset ในการตัดสินใจยังไง ผมพร้อมจะยึดประชาชนไว้ได้หรือเปล่า

พอผมถามตัวเองได้แบบนี้แล้ว ก็รู้สึกว่า อือ มันใช่ มันพร้อม ผมก็เลยตัดสินใจมา

ย้อนไปผมสนใจการเมืองตั้งแต่เด็ก ก็ติดตามมาเรื่อยๆ ต้องบอกว่า ด้วยความที่ครอบครัวมีคุณลุงคุณอาอยู่ในแวดวงการเมืองมานาน เรามีความรู้สึกว่า สักวันอยากเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว ก็เห็นปัญหา ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลขนาดไหนมันก็ซ้ำๆ

ในเรื่องของการศึกษา 20 ปีมานี้ผมก็เชื่อว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ระบบรถเมล์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ความเหลื่อมล้ำก็เหมือนเดิม ทุกคนก็ยังบ่นเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเหมือนเดิม

ซึ่งจริงๆ แล้ว ปัญหามันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นปากท้อง ปัญหาคนตกงาน ปัญหาค่าครองชีพแพง PM 2.5 ก็โดนกันครบทุกคน พี่น้องที่เขาได้รับผลกระทบเยอะกว่าเราเยอะ และช่องทางในการแก้ปัญหาเขาน้อยกว่าเรามาก

เพราะฉะนั้น ผมจึงเน้นเลยว่าการลงพื้นที่ของผมแต่ละครั้ง จะต้องเข้าไปพร้อมที่จะรับฟังจริงๆ ผมเน้นเลยว่าไม่ส่งทีมงานลง หมายความว่าผมต้องไปเอง เพราะผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนเขาอยากเห็นอยู่แล้วว่าใครจะเป็นผู้แทนฯ ของเขา ใครจะมาสู้ไปกับเขา และผมต้องเห็นปัญหาจริง รับฟังจริง จึงทำให้เห็นปัญหาเยอะมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของผู้สูงอายุที่เขาไม่มีรายได้ แถมเบี้ยผู้สูงอายุด้วยเรตแค่นี้ในปัจจุบัน มันไม่เพียงพอ ในขณะเดียวกัน ค่าครองชีพมันก็สูงขึ้น

อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของการศึกษา หลายคนมีปัญหาที่ว่าจบมาแล้วไม่รู้ว่าจะทําอะไร คือ เหมือนคนที่สิ้นหวัง มืดแปดด้าน จบมาแล้วยังตกงาน ไม่มีงานทํา หางานไม่ได้ ยิ่งช่วงโควิดที่การบริหารที่ผิดพลาดทำให้กระทบพวกเขาค่อนข้างเยอะ

หลายคนตอนนี้เป็นหนี้เป็นสินเยอะมาก

คําถามว่า ทําไมต้องก้าวไกล

ผมเชื่อว่านโยบายของพรรคก้าวไกลเป็นการแก้ปัญหาที่โครงสร้างจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านการศึกษา

ต้องบอกว่าผมมีคุยกับพรรคตั้งแต่ปีที่แล้ว คุยกันหลากหลายเรื่อง

ผมสนใจเรื่องการศึกษามาก เพราะว่าจบในระบบต่างประเทศมา แล้วก็เห็นอะไรหลายๆ อย่างมา

ผมก็เชื่อว่าผมสามารถจะไปผลักดันนโยบายด้านการศึกษาได้ เพราะโซลูชั่นของพรรคกับผมเรียกตรงกันเยอะมาก ในความพร้อมที่จะปฏิรูปหลักสูตรจริงจัง เน้นการลงลึกเฉพาะทาง มีเรื่องของวิชาชีวิตเข้ามา เช่น ด้านกฎหมาย ด้านการเงินที่ควรเรียนในระดับมัธยมปลาย ทุกคนควรต้องรู้เรื่องกฎหมาย/การเงินเป็นเบื้องต้น/ด้านสุขภาพ/การทําบัญชี

รวมถึงมองมิตินวัตกรรมเปลี่ยนผ่าน มีหลักสูตรให้เรียนฟรี เผื่อใครอยากจะเปลี่ยนสายงานอาชีพก็สามารถที่จะเข้าไปศึกษา เช่น มัลติมีเดียมาแรงก็มีแพลตฟอร์มไปฝึกพัฒนาในยุคเปลี่ยนผ่านได้ดี

การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ผมมองว่าถ้าเกิดมีความจําเป็นต้องเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน ประเทศทุกประเทศมีการพัฒนาและเติบโตอยู่แล้ว ถ้าเกิดคุณมามองประเทศไทยเราเติบโตค่อนข้างช้า ดูจาก GDP เราโตช้า เมื่อไหร่ขนาดเศรษฐกิจเราจะเท่าประเทศอื่นๆ แต่ก่อนคนไทยรวยกว่าคนจีน กว่าคนเกาหลี

ทุกวันนี้ GDP จีน เกาหลี แซงไทยกระฉูดไปแล้ว เราเห็นได้เลยว่า ถ้าคุณใช้วิธีเดิมๆ เวย์เดิมๆ นักการเมืองกลุ่มเดิม พรรคการเมืองเดิม ตลอด 20 ปีมานี้มันไม่ได้เปลี่ยนอะไร

และแนวทางของพรรคก้าวไกลเป็นแนวทางใหม่ ผมก็เลยเชื่อว่ามันน่าจะเป็นโอกาสถ้าพี่น้องประชาชนเปิดใจรับ น่าจะเป็นโอกาสดีที่เราจะมีโอกาสในการที่จะเปลี่ยนแปลง

การ “แตะเรื่องร้อนๆ” ทั้งหลายของพรรค “ศุภณัฐ” มองว่าไม่น่ากังวล เพราะสุดท้ายแล้ว เชื่อว่าเป็นการรับฟังเสียงโดยรวมของพี่น้องประชาชน

เราเป็นพรรคที่ค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องการรับฟัง เราจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนมาสะท้อนปัญหาอยู่เรื่อยๆ

และผู้แทนฯ หลายๆ คนของพรรคก็เป็นสายที่พร้อมเข้าไปจี้ถึงตัวพี่น้องเลยรับฟังจริงๆ และผมก็เชื่อว่าหากมีอะไรที่พี่น้องประชาชนไม่ประสงค์ให้ทํา พรรคก้าวไกลก็จะฟัง

อย่างกองทัพยังไงก็ต้องลดขนาดองค์กรเขาอยู่แล้ว เนื่องจากจํานวนทหารเกณฑ์เยอะเกินไป การซื้ออาวุธที่ค่อนข้างเยอะ

แถมปริมาณนายพลนี่มากกว่าสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำ ทั้งที่อเมริกายังใหญ่กว่าเราหลายสิบเท่า และประชากรมากกว่าไทยหลายเท่าตัว ทําไมคุณถึงต้องใช้นายพลมหาศาลขนาดนั้น

ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด เพียงแค่ว่ากลุ่มอํานาจเก่าอาจจะยังไม่เห็นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมพี่น้องประชาชนควรต้องเลือกพรรคก้าวไกลให้มากขึ้น เพราะมันสะท้อนเจตจํานงจริงๆ ว่า พี่น้องต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

จุดแข็งผม ผมมั่นใจว่าผมมีความตั้งใจ และเป็นคนที่รับฟัง เห็นปัญหาจริง โดยเชื่อว่าจากประสบการณ์ความรู้ความสามารถที่มีช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนจุดอ่อนประเมินตัวเองว่ายังไม่มีประสบการณ์ในสภา ไม่ได้รู้เรื่องของเกมการเมือง แท็กติกต่างๆ แต่เชื่อว่าด้วยความตั้งใจและความจริงใจจะเป็นจุดเดียวที่ทําให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในตัวผมที่เข้าไปรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนอย่างจริงจังจากการที่เราเข้าไปรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน

จากการที่ผมลงพื้นที่มา ชาวบ้านขอผมอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าได้เป็น ส.ส.แล้ว กลับมาให้เห็นหน้าหน่อย มันสะท้อนว่าพอคุณได้อํานาจไปแล้ว คุณไม่ได้เห็นหัวเขา ผมจึงตั้งใจเลยว่า จะต้องกลับไปหาพี่น้อง ต้องเจอให้มากที่สุด อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็ยังดี

ถ้าเราไม่เจอประชาชน เราก็ไม่เห็นปัญหาหรอก

 

ส่วน “นามสกุลดัง” ของ “ศุภณัฐ” มีผลต่อผลการเลือกตั้งหรือไม่นั้น ศุภณัฐบอกว่า ชาวบ้านเคยมีถามถึง แต่ผมก็ต้องอธิบายว่าคือคนละคนกัน คนละพรรคกัน จุดยืนของผมคือพรรคก้าวไกล ผมเชื่อว่าพรรคก้าวไกลเป็นแนวทางใหม่ที่พร้อมเข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศในเชิงโครงสร้างได้แท้จริง ซึ่งพี่น้องประชาชนหลายคนเลยเขาเข้าใจ ว่าถึงยุคของคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีแนวคิดใหม่ๆ

ส่วนนามสกุลผม ผมว่าอาจจะไม่ได้เป็นแต้มต่อ แต่เป็นจุดให้พี่น้องประชาชนให้ความสนใจและเพ่งเล็งการทํางานของผมมากขึ้น

เผลอๆ ในอีกมุมหนึ่งบางคนอาจจะมองว่าเป็นจุดอ่อนด้วยซ้ำ เพราะว่าเราเหมือนเป็นจุดโฟกัสให้เขามอง ว่าเราทําอะไรผิดหรือเปล่า ได้ผลประโยชน์จากการมีนามสกุลหรือเปล่า เราทําอะไรพลาดหรือเปล่า

ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองว่าเรามีความตั้งใจจริง แก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน

ส่วนการเป็นคนฐานะระดับบนๆ จะเข้าใจหัวอกคนจนได้จริงหรือนั้น ศุภณัฐบอกว่า ผมเชื่อว่าผมเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่าทุกคนกระทบหมด ปัญหา PM 2.5 ก็โดนกันทุกคน ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนหลายท่านหนักกว่าผม ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเราถึงต้องเข้าไปรับฟังพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด ซึ่งตัวผมเองพร้อมมากที่จะเข้าไปรับฟังและผลักดันแก้ไข และเชื่อว่าตัวผมเองพร้อมที่จะสู้ไปกับเขา และสู้ให้เขา ปัญหาของพี่น้องประชาชนจะถูกขุดขึ้นมาทั้งหมดเพื่อนํามาสังฆกรรมแล้วก็แก้ไขให้ได้

ผมเชื่อว่าถ้าคนอย่างผมไม่มาเสนอตัวเป็นผู้แทนฯ แล้วจะต้องให้คนกลุ่มแบบไหนลงมา ถูกไหมครับ

ถ้าผมที่เห็นปัญหาอยู่แล้ว ไม่พร้อมที่จะมาช่วย คือประเทศมันคงแย่มาก ถ้าคนที่อยู่ระดับบนๆ ไม่พร้อมที่จะเสียสละอะไรเลย ไม่พร้อมลงมาเพื่อที่จะมาช่วยคนอื่น

คนแบบผมมีพื้นฐานดีกว่าเขา มีโอกาสมากกว่า ถ้าไม่พร้อมเสียสละ คุณจะให้คนหาเช้ากินค่ำมาเสียสละหรือ?

ทุกวันนี้เขาหาเช้ากินค่ำก็ลําบากอยู่แล้ว คุณจะไปขูดรีดอะไรกับเขาอีก ให้เขามาเสียสละอะไรเพิ่มเติมอีก

 

เมื่อพูดถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แล้วนึกถึงอะไรเป็นอันดับแรกนั้น ศุภณัฐบอกอย่างไม่ลังเลว่า ผมนึกถึงเผด็จการ เหมือนไม่ได้มาตามครรลองที่มันถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้เขาจะบอกว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่ส่วนหนึ่งก็ตั้ง ส.ว. 250 เข้ามา

ผมรู้สึกว่าเป็นประชาธิปไตยที่ไม่แฟร์ แม้คุณจะบอกเป็นประชาธิปไตย แต่มันก็มีกลิ่นอายของความไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง การอยู่กับรัฐบาลชุดนี้ผมว่าทุกคนอึดอัด ไม่ใช่แค่ตัวผม

จึงเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นตัวชี้วัดจริงๆ ว่าความอึดอัดของเขาได้ถูกระบายออกมาจากการเลือกตั้ง

ต้องใช้คําว่าไงดี 8-9 ปีที่ผ่านมา ผมเสียดายมาก ผมไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างอะไรเลย

มองไปไม่เห็นอนาคต

ชมคลิป