การเลือกตั้งครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้น ของการสิ้นสุดของระบอบอำนาจนิยม?

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

การเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวอาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของระบอบอำนาจนิยมอันยาวนานในสังคมไทย

แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการสืบทอดอำนาจที่ยาวนานกว่า 9 ปี การเลือกตั้งครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่นำสู่การสิ้นสุดของระบอบอำนาจนิยมที่ยาวนาน

โดยสามารถพิจารณาถึงลักษณะสำคัญสี่ประการต่อไปนี้

 

การต่อสู้ของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน : ฝั่งอำนาจนิยมอาจไม่สามารถควบคุมการต่อสู้ของฝ่ายค้านได้ และฝ่ายค้านอาจมีการรวมตัวกันเพื่อต่อต้านฝั่งเผด็จการอย่างมากขึ้น

การทำงานของฝ่ายค้านที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาล ความล้มเหลวเชิงนโยบาย เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาการรณรงค์การเลือกตั้ง

ผลงานของรัฐบาลถูกนำมาพูดถึงอย่างกว้างขวาง และกลายเป็นผลร้ายของฝั่งรัฐบาล ที่ไม่สามารถพูดถึงผลงานอย่างรูปธรรมได้

ขณะเดียวกันในยุคสมัยใหม่ที่รูปแบบการสื่อสารมีหลากหลายทาง และทุกคนสามารถส่งสารของตนได้

การสื่อสารแบบทางเดียวทางโทรทัศน์หรือวิทยุ ลดความนิยมลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทำให้การทำงานของพรรคฝ่ายค้านในการรณรงค์การเลือกตั้งและเปิดแผลรัฐบาลมากขึ้น

และรัฐบาลเองก็ไม่สามารถผูกขาดความจริงได้อย่างเด็ดขาด

 

ความไม่พอใจของประชาชน : ฝั่งอำนาจนิยมอาจไม่สามารถรับมือกับความไม่พอใจของประชาชนได้

ซึ่งอาจเกิดจากการละเลยปัญหาของประชาชน พร้อมกับการใช้ความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจและยกระดับให้การต่อสู้ของฝ่ายค้านดูสมเหตุสมผลมากขึ้น

ความไม่พอใจนี้ไม่จำกัดเพียงเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เท่านั้น เราจะเห็นได้ว่ากลุ่มคนวัยทำงานจำนวนมากที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่แย่ลง รู้สึกว่าการบริหารของรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพไม่สามารถเห็นถึงอนาคต

ขณะเดียวกันกลุ่มคนผู้สูงอายุที่เคยสนับสนุนรัฐบาลอนุรักษนิยมก็เริ่มตระหนักว่าความล้มเหลวของรัฐบาลนอกจากจะทำให้สภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา

รัฐบาลอำนาจนิยมอาจทำให้ความขัดแย้งต่างๆ ที่เคยมีมาทวีความรุนแรงมากขึ้น

ความไม่พอใจต่อรัฐบาลแผ่ขยายไปในทุกช่วงวัยของผู้คนในสังคม

 

ความไม่เชื่อมั่นของสมาชิกภายใน : ฝั่งอำนาจนิยมอาจไม่สามารถควบคุมสมาชิกภายในได้ ซึ่งอาจเกิดจากความไม่เชื่อมั่นในการบริหารจัดการ การขาดความโปร่งใสในการตัดสินใจ หรือการจัดสรรตำแหน่งที่ผ่านมา

เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องสำคัญเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนหลายประการในอนาคต ชุดผลประโยชน์ที่เคยมีเริ่มหดเล็กลง พวกเขาจะเริ่มตีตัวออกห่าง

และเมื่อทรัพยากรน้อยลงการจัดการความขัดแย้งภายในก็จะเริ่มลำบาก

ความแตกแยกในหมู่ชนชั้นนำจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านโดยสันติและปราศจากความรุนแรงจากการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ไปพร้อมกัน

 

การแข่งขันทางการเมือง : การแข่งขันทางการเมืองก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝั่งอำนาจนิยมพ่ายแพ้

ฝ่ายค้านอาจมีผู้สนับสนุนและแรงสนับสนุนที่มากขึ้น

เช่น การมีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมากในการเลือกตั้ง หรือการใช้สื่อสารและโฆษณาสื่อออนไลน์เพื่อสร้างความเข้าใจและเป้าหมายร่วมกัน

ตัวเลือกที่แปลกใหม่ ยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนไป จากพรรคไทยรักไทยสู่พรรคเพื่อไทย จากพรรคอนาคตใหม่ สู่พรรคก้าวไกล ลักษณะนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การแข่งขันทางการเมืองมีความซับซ้อนมากขึ้น คาดเดาได้ยากขึ้น รวมถึงการควบคุมต่อรองก็ยากขึ้นเช่นกัน

อันเป็นผลจากการยกระดับการต่อสู้ทางอุดมการณ์ที่มีมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา

 

การพ่ายแพ้ของฝั่งอำนาจนิยมอาจเกิดขึ้นได้ด้วยหลายสาเหตุ และต้องพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการต่อสู้ในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในประเทศ

ทั้งนี้ หากฝั่งอำนาจนิยมเห็นถึงแนวโน้มของการสิ้นสุดอำนาจในลักษณะนี้ก็มีความจำเป็นที่ต้องเร่งการวางแผนถ่ายโอนอำนาจ ทำความเข้าใจกับประชาชน และปล่อยมือจากอำนาจอย่างสันติ เพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียจากการพยายามยึดยื้อถือครองอำนาจ

เพราะเวลากำลังจะอยู่ข้างประชาชนและนำพาความเปลี่ยนแปลงมาได้ในท้ายที่สุด

ดังคำกล่าวที่ว่า

“คุณอาจตัดดอกไม้ทั้งหมดได้ แต่คุณไม่อาจยับยั้งฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึง” ปาโบล เนรูด้า กวีชาวชิลี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 1971