สมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานงบประมาณ เปิดเผยว่า ในปี 2568 ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ (ผู้สูงอายุเกิน 60 ปีเกินร้อยละ 20 ของประชากร) รัฐต้องใช้งบประมาณสูงถึง 3.62 แสนล้านบาท

เพิ่มจากปัจจุบันกว่าร้อยละ 47

และภาระจะเพิ่มเป็นเท่าตัว คือ 4.78 แสนล้านบาทในปี 2578 ซึ่งเป็นปีที่มีจำนวนผู้สูงอายุอยู่ระดับสุดยอด คือมีถึงร้อยละ 30.8 ของจำนวนประชากร คิดเป็นจำนวน 20.3 ล้านคน

จากปีงบประมาณ 2560 ที่รัฐจัดสรรงบประมาณที่ 2.46 แสนล้านบาท ในจำนวนผู้สูงอายุ 11.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 17.12 ของจำนวนประชากร

ภาระระดับนี้หากเศรษฐกิจแต่ละปีโตระดับร้อยละ 5 รายได้ในการจัดเก็บภาษีก็น่าจะรองรับได้เทียบกับงบประมาณเพื่อใช้กับสังคมผู้สูงอายุแต่ละปีจะไม่เกินร้อยละ 10 ของงบประมาณรายจ่าย

โดยในปี 2561 สัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 9.58 ซึ่งต้องรักษาสัดส่วนนี้ไว้

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากภาษีบาป (จัดเก็บภาษีสุรา เบียร์ ยาสูบ) ที่จะจัดสรรให้กับกองทุนผู้สูงอายุอีกปีละ 4,000 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นไป เพื่อสมทบเป็นเบี้ยผู้สูงอายุ เพิ่มให้อีกรายละ 200 บาท จากที่ได้รับตามขั้นบันไดรายละ 600-1,000 บาท/เดือน

งบประมาณที่ใช้ในเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและเบี้ยสมทบยังชีพที่เพิ่มให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย แนวโน้มจะโตขึ้นเรื่อยๆ