รถไฟฟ้าขบวนนักปฏิวัติฯ | เรื่องสั้น : นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

เรื่องสั้น | นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

รถไฟฟ้าขบวนนักปฏิวัติฯ

 

ความขุ่นมัว ผสมความอับอาย โถมเข้าจู่โจมอย่างไม่ยอมลดละ มันแผ่รังสีออกมาจากสายตาทุกคู่ในตู้โดยสาร ข้าพเจ้าตาเหลือกตาลาน รีบก้าวลงสู่ชานชาลาสถานี

กระทั่งขบวนรถเคลื่อนออกไปแล้วนั่นแหละ

จึงเริ่มคลี่คลายลง…

 

[รถไฟฟ้า บีทีเอส สายสุขุมวิท]

สถานีปากน้ำ…

หลังชีวิต และการงาน ได้กลับมาลงหลักปักฐานอยู่บ้านแม่แถบชานเมือง ข้าพเจ้าก็ไม่มีโอกาสได้ใช้บริการรถไฟฟ้าอีกเลย ครั้งล่าสุดน่าจะราวเจ็ดหรือแปดปีก่อน โดยส่วนใหญ่ข้าพเจ้ามักเลือกใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่า ไปไหนมาไหนแต่ละที ก็เฉพาะแถวๆ บ้าน บังเอิญวันนี้มีนัดกับเพื่อนฝูงเก่าแก่ ประมาณว่าเป็นการพบปะสังสรรค์เพื่อรำลึกความหลังครั้งยังเรียนอยู่สถาบันเก่าใจกลางเมือง ร้านอาหารร้านเหล้าริมคลองแสนแสบ ตรงสะพานหัวช้างที่เคยดื่มกิน ก็มีอันเลิกราไปนานนม เพื่อนคนหนึ่ง เสนอร้านกาแฟชื่อดังสัญชาติอเมริกัน ในห้างสยามพารากอน (พวกไอ้กัน ทาสทุนนิยม ข้าพเจ้านึกเยาะหยันอยู่ในใจ) หากาแฟกลั้วปากกลั้วคอกันก่อน ค่อยคิดขยับขยายปากท้อง

ออกจากบ้านย่านศรีนครินทร์ตอนสาย ขึ้นรถเมล์มาลงสถานีปากน้ำ ถือโอกาสนี้นั่งรถไฟฟ้าชมผู้คน ชมทิวทัศน์ของเมือง และปล่อยอารมณ์ไปตามเรื่องตามราว

ทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับการหยอดเหรียญซื้อตั๋วโดยสาร แอบเล็งคนข้างหน้าไว้เป็นตัวอย่าง กลัวถึงคิวจะออกอาการเซ่อซ่าให้ได้อาย ในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้ แม้ผู้คนยังไม่ถึงกับหนาแน่น แต่ก็เรียกได้ว่าเต็มเกือบทุกที่นั่ง รถไฟออกตัวไปสักพัก ความที่ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบสังเกตพฤติกรรมของผู้คน สายตาจึงเริ่มซอกแซกไปทางโน้นทีทางนั้นที

เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง พูดคุยส่งเสียงดังอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง พนักงานสาวในเครื่องแบบร้านสะดวกซื้อ นั่งก้มมองโทรศัพท์ในมือใบหน้าเฉยชา นักท่องเที่ยวหญิงชาวตะวันตกสองคน ก้มดูแผนที่ในแอพพลิเคชั่นทำทีปรึกษาหารือกันเบาๆ เด็กหนุ่มบุคลิกเนิร์ดๆ คนหนึ่ง สวมแว่นตาหนาเตอะผู้ซึ่งเอาแต่คร่ำเคร่งอยู่กับเกมบนมือถือ คู่รักวัยทำงาน คงเพิ่งจีบกันใหม่ๆ ฝ่ายหญิงท่าทางเขินอาย ฝ่ายชายยิ่งดูเก้ๆ กังๆ คุณป้าคนหนึ่งท่าทางคร่ำครึ แต่งกายด้วยชุดสุภาพ แลดูคล้ายคุณครูเพ็ญศรีที่แสดงโดยตุ๊กกี้ ก้มหน้าอ่านหนังสือโดยไม่สนใจต่อสิ่งใด นานๆ ครั้ง จะปรายตาขึ้นมองกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ส่งเสียงดัง ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง นั่งหลับตาพริ้มไปพร้อมกับบทเพลง หรืออะไรสักอย่างที่อยู่ภายในหูฟังไร้สายอันเล็กจิ๋ว ทุกๆ ชีวิตภายในตู้โดยสาร เสมือนจมอยู่กับโลกของตน คล้ายภาพชินตาของยุคสมัย

ขบวนรถขโยกเขยกไปตามรางเหล็ก เสียงเสียดสีขณะห้ามล้อ ทำให้เกิดอาการเข็ดฟันเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ ชะลอลง เพื่อเข้าสู่สถานีถัดไป

 

สถานีสำโรง…

เมื่อผ่านถึงสถานีนี้ ข้าพเจ้ากระหวัดใจนึกไปถึงสมัยเรียนโรงเรียนช่างก่อสร้าง กลับบ้านต้องมาต่อรถเมล์หน้าห้างอิมพีเรียล ประจวบเหมาะ เจอนักเรียนช่างกลเจ้าถิ่น วิ่งไล่กันเกือบตาย แผลเป็นจากรอยมีดยังฝากไว้ที่หัวไหล่จนถึงปัจจุบัน นึกแล้วช่างเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี

ประตูรถเลื่อนเปิด หญิงวัยราวสี่สิบคนหนึ่งก้าวเข้ามา ภาพความขัดแย้ง ทว่า งดงามตราตรึงเข้าจู่จับข้าพเจ้าทันที มุ่นผมที่รวบรัด ตรึงไว้ด้วยดอกไม้สีขาวสะคราญ ข้าพเจ้าไม่รู้จักชื่อดอกไม้ มันส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยผ่านหน้ายามเมื่อเธอเฉียดใกล้ ร่างเล็กบอบบางในชุดผ้าถุงยาวกับเสื้อคอจีนแขนสามส่วนเข้ารูป ดูสงบงาม หนังสือเล่มหนาในมือ คล้ายยิ่งเพิ่มความขรึมขลังอย่างผู้ทรงภูมิ ข้าพเจ้ากระหวัดใจนึกไปถึงหนังสือชีวประวัติบุคคลสำคัญของโลกที่นอนอ่านเมื่อคืน และข้าพเจ้าก็กระหวัดใจไปอีกครั้ง นี่มันออง ซาน ซูจี ใช่! เธอคือหญิงนักต่อสู้จากประเทศเพื่อนบ้านไม่ผิดเพี้ยน แค่ความบังเอิญหรอกน่า ข้าพเจ้าคิด

เก้าอี้ไฟเบอร์กลาสสีเหลืองสด ขับเน้นชุดสีแดงฝาดของเธอได้ดี เมื่อเธอนั่งลงตรงข้ามกับข้าพเจ้าแล้ว หญิงสาวจึงค่อยบรรจงเปิดหนังสือในมือออกอ่าน

 

สถานีอุดมสุข…

ถึงเวลานี้ภายในตู้โดยสาร ที่นั่งว่างเหลือไม่มากนัก ข้าพเจ้ากวาดตามองไปซ้ายที ขวาที คล้ายความโดดเดี่ยวเข้าจู่โจม ถูกตัดขาดจากสิ่งมีชีวิตโดยรอบ มนุษย์ร่วมตู้ล้วนก้มหน้าก้มตา รถจอดอีกครั้ง

เมื่อประตูเปิด ไอความร้อนจากด้านนอกแทรกเบียดอากาศเย็นภายใน พร้อมๆ กับผู้โดยสารจำนวนหนึ่งเบียดแทรกเข้ามา ภายในสมองของข้าพเจ้าประมวลผลภาพเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ หากนับอย่างละเอียด จะเห็นที่นั่งว่างเพียงสองที่ ส่วนผู้ขึ้นใหม่มีเจ็ดคน สองในจำนวนนั้นเป็นคุณยายกับหลานสาวตัวน้อย จังหวะแกกำลังเดินจูงมือเด็กหญิงพุ่งตรงตำแหน่งเก้าอี้ว่างดังกล่าว เป็นจังหวะเดียวกับชายหนุ่มร่างใหญ่สองคนที่ขึ้นมาพร้อมกัน หย่อนก้นลงก่อนหน้าเพียงไม่กี่วินาที ข้าพเจ้าชะงักงันไปชั่วครู่ หันมองผู้โดยสารโดยรอบ ทุกคนยังคงก้มหน้า ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง มีเพียงออง ซาน ซูจี (ข้าพเจ้าขอเรียกเธอแบบนั้น) เหลือบมองขึ้นนิดหนึ่ง ส่ายหน้าน้อยๆ และกลับไปอยู่ในโลกหนังสือของเธออีกครั้ง

ชายหนุ่มสองคน ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับต้องยกมือขยี้ตาซ้ำๆ คิดในใจ เอาอีกแล้ว หนังสือที่อ่านเมื่อคืนหลอนค้างอีกแล้ว ภายใต้หนวดเครารกครึ้มของทั้งสอง ไม่สามารถปกปิดใบหน้าอันหล่อเหลาคมสันไว้ได้ คนหนึ่งใส่หมวกเบเร่ต์สีแดงปักรูปดาวด้วยด้ายสีทอง ดูคุ้นตา จะไม่คุ้นได้อย่างไร นั่นมัน เช กูวารา กับฟิเดล คาสโตร เขากำลังสนทนากันด้วยทีท่าจริงจัง ใบหน้าเคร่งขรึม คล้ายการถกปัญหาของประเด็นที่มีสาระสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยมีเด็กหญิงกับคุณยายยืนตาปริบๆ อยู่ข้างกาย คุณยายส่งสายตาไปรอบๆ คล้ายหยั่งความอาทร ชั่วแวบที่หันมาสบพ้องกับข้าพเจ้า ข้าพเข้ารีบหลุบตาลง แกล้งทำเป็นหลับเหมือนไม่รับรู้เหตุการณ์ใดๆ

ความมืด สลับเจิดจ้า สีเหลือง สีส้ม และขาวโพลน วิ่งไหวภายใต้เปลือกตา ข้าพเจ้าจมอยู่กับความคิดคำนึง ไอ้สองคนนั่นช่างไร้น้ำใจ คนแก่กับเด็กยืนหัวหงอกหัวดำอยู่ข้างหน้าแท้ๆ ยังทำไม่สน ดูเอาเถอะ นักปฏิวัติอะไรวะ แค่การเสียสละเล็กๆ น้อยๆ ยังตกพร่อง แล้วจะคิดก่อการใหญ่ ข้าพเจ้าแค่นหัวเราะอยู่ภายในเงียบเชียบ เฝ้าฟังเสียงการเคลื่อนตัวของขบวนรถต่อไป

 

สถานีอ่อนนุช…

หลังรถจอดรับผู้โดยสาร และแล่นออกจากสถานีได้ไม่นาน ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอสวมกางเกงยีนส์สั้นกุด ปล่อยเส้นด้ายชายขารุ่ยร่าย เสื้อสายเดี่ยวเอวลอยตัวจิ๋วเผยเนินอกเต่งตูม ผิวขาวอย่างคนไม่เคยถูกแสงแดด ท่าทางมั่นใจของเธอสามารถเรียกสายตาใครต่อใครได้ไม่ยาก ข้าพเจ้าเผลอกลืนน้ำลาย อยากพินิจพิเคราะห์ตามนิสัย แต่ไม่กล้า กลัวเป็นการละลาบละล้วง เสมองไปทางอื่นหวังดูปฏิกิริยาผู้คนรอบข้าง น่าแปลก ไม่มีใครให้ความสนใจเธอ ทุกคนยังคงก้มหน้าก้มตา แม้กระทั่ง เช กูวารา กับฟิเดล คาสโตร ซึ่งนั่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม ยังไม่หันขึ้นมอง หากว่ากันตามกฎแรงดึงดูดของเพศตรงข้ามย่อมผิดวิสัย ก็เธอสวยเซ็กซี่ขนาดนี้ หรือเป็นข้าพเจ้าเองที่ไม่ได้เข้าเมืองเสียนาน โลกข้างนอกเขาไปถึงไหนกันแล้ว เสื้อผ้า แฟชั่นการแต่งกาย ที่ออกจะวาบหวิวในสายตาของข้าพเจ้า กับคนอื่นๆ อาจเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ยิ่งขวยอาย คล้ายยิ่งมีแรงดึงดูดให้หันไปจ้องมอง เสี้ยวจังหวะหนึ่ง สายตาของข้าพเจ้าพลันไปสบเข้ากับสายตาของเธอ แต่มันก็เป็นไปเพียงชั่วแวบเดียว ข้าพเจ้ารีบเบนสายตาหนีอย่างมีพิรุธ ทำทีว่ามองไปนอกหน้าต่าง ชมทิวทัศน์ตึกอาคาร

 

สถานีอโศก…

เมื่อรถเข้าเทียบชานชาลาสถานีอโศก ภายในตู้โดยสาร จากที่ยืนกันแบบหลวมๆ บัดนี้คล้ายถูกกระแสคลื่นมนุษย์ ผลักรุนเข้ามาราวการไหลบ่าของสายน้ำ อัดเยียดเต็มพื้นที่ทันที อาจเพราะสถานีนี้ อยู่ใจกลางเมือง ผู้คนหนาแน่น และเป็นจุดเชื่อมต่อกันกับรถไฟฟ้าใต้ดิน ข้าพเจ้านึกไปถึงความยัดทะนานของขบวนรถไฟในประเทศอินเดีย จากภาพยนตร์ หรือสารคดีที่เคยได้ดู ไพล่ให้คิดเล่นๆ อย่างเห็นขัน หรือนี่คือการสบพ้องกันโดยบังเอิญของชื่อสถานี กับจินตนาการที่วาบเข้ามาในหัว

คำว่าอโศก จะเกี่ยวเนื่องกับพระเจ้าอโศกมหาราชหรือเปล่าหนอ ทั้งย่านนี้ ชาวต่างชาติซึ่งนับถือศาสนาซิกข์ และฮินดู จากประเทศอินเดียก็อาศัยกันอยู่มาก คิดเช่นนั้น ข้าพเจ้าฆ่าเวลาโดยการเสิร์ชหาข้อมูลในกูเกิล ปรากฏว่าถนนอโศกในที่นี้ ไม่มีความเชื่อมโยงใดกับพระเจ้าอโศกฯ อย่างที่ข้าพเจ้าสันนิษฐานไว้ แค่เพียงการตั้งชื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระอโศกมนตรี (เรียม เศวตเศรณี) ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้อุทิศที่ดินร่วมกับเจ้าของที่รายอื่นๆ และซื้อที่ดินซึ่งเป็นตลาดเดิม มอบให้เทศบาลนครกรุงเทพ สร้างถนนสายนี้เท่านั้น

ยังไม่ทันความคิดจะทอดไกล สายตาพลันไปสะดุดเข้ากับหนุ่มใหญ่ชาวภารตะคนหนึ่ง เขายืนสงบนิ่ง ผิดกับท่าทางออดอ้อนออเซาะของเด็กสาวที่มาด้วยกัน ผู้แต่งตัวจัดจ้านตามยุคสมัย สามัญสำนึกของข้าพเจ้า บอกว่าทั้งสองน่าจะเป็นคู่รักกันมากกว่าจะเป็นอื่นใด ความขัดแย้งเล็กๆ ก่อขึ้นในใจ

แต่ประเด็นไม่ใช่เรื่องนั้น ข้าพเจ้าให้ความสำคัญกับฝ่ายชายมากกว่า ประเมินจากสายตา อายุของเขาน่าจะก้าวเลยครึ่งศตวรรษของชีวิต ยืนยันได้จากผม และหนวดเคราสีขาวสว่างรังรอง ที่ปล่อยยาวราวกับนักบวช หรือพราหมณ์ผู้คงแก่เรียน ดวงตาทั้งสองข้างคมกริบดุจพญาเหยี่ยวบนฟากฟ้าเหนือแคว้นเบงกอล จมูกนั้นเล่า สันโค้งดั่งคันธนู แน่วแน่ และแข็งแกร่งอย่างมั่นใจต่อการบรรลุถึงเป้าหมาย ทั้งการแต่งกายซึ่งห่มคลุมด้วยผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตาอย่างผู้บำเพ็ญเพียร เขาแน่วนิ่งราวกับว่า เด็กสาวที่มาด้วยกัน เป็นเพียงหลุมพรางดักกิเลส มีไว้ทดสอบจิตใจแก่ผู้แสวงหาสัจธรรมความจริง

อะไรกันวะนี่!

ข้าพเจ้าเผลออุทานในใจ พร้อมใช้มือขยี้ตาเพื่อยืนยันภาพตรงหน้า ว่าไม่ได้หลอนไปอีกครั้ง ทั้งออง ซาน ซูจี ทั้งเช กูวารา ทั้งฟิเดล คาสโตร นี่ยังจะมาท่านรพินทรนาถ ฐากูร อีกคน หรือใจกลางมหานครที่ข้าพเจ้ากำลังมุ่งหน้า จะมีงานเฉลิมฉลองเฟสติวัลแฟนซีในตีมนักปฏิวัติ ข้าพเจ้านึกทบทวนความรับรู้ของสถานการณ์ปัจจุบัน

ยังไม้ทันได้คำตอบให้ตัวเอง ขบวนรถก็มุ่งหน้ามาถึงสถานีเพลินจิต

 

สถานีเพลินจิต…

ยิ่งใกล้ใจกลางเมือง ผู้คนยิ่งหนาแน่น ภายในตู้โดยสารเวลานี้ มีพื้นที่แค่ให้ฝ่าเท้าพอทรงตัว เรียกว่าหากใครสักคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับใครอีกคน ลมหายใจของพวกเขาอาจหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน บรรดานักปฏิวัติทั้งหลายที่ขึ้นมาปะปนกับผู้คนธรรมดาๆ ในขบวนรถ บัดนี้คล้ายกลืนหายไปกับจำนวนฝูงชน ข้าพเจ้าพยายามช้อนสายตาแลหา แต่กลับไม่พบ

ขณะนี้ จะมีก็แต่หญิงสาวในชุดกางเกงสั้นกุด ที่ข้าพเจ้าแอบมองมาตั้งแต่สถานีอ่อนนุช ถูกเบียดชิดมาอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าพอดิบพอดี เมื่อมองในระยะใกล้ระดับสายตา หัวใจแทบหลุดร่วง แก้มก้นที่แพรมจากกางเกงตัวนั้นสร้างความปั่นป่วนให้ข้าพเจ้าอย่างมาก พยายามหันมองไปทางอื่นก็แล้ว หลับตาลงก็แล้ว แต่เหมือนมีแรงโยงใยมหาศาลฉุดรั้งให้คอยเผลอมองก้อนเนื้อตรงหน้า สาบานเถอะว่าข้าพเจ้าไม่ได้คิดไปในทางอกุศลอะไรนั่นเลย

ขณะรถวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมลดละ จู่ๆ เหมือนมีการหักเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงเหวี่ยง มันทำให้ผู้โดยสารทั้งตู้ที่ยืนอยู่ รวมถึงหญิงสาวเบื้องหน้า เซถลาจะล้มมิล้มแหล่ และไอ้การที่เธอไม่ได้เกาะเกี่ยวสิ่งใดไว้ นอกจากโทรศัพท์ในมือ มันจึงส่งผลให้เธอเหมือนจะล้มลง รวดเร็วกว่าความคิด ข้าพเจ้ายื่นมือเข้าไปหวังคว้าพยุง ก่อนที่ร่างบอบบางตรงหน้าจะร่วงหล่นกระแทกพื้น

คล้ายสวรรค์กลั่นแกล้ง หรือจังหวะนรก ก็สุดแต่จะเรียก เธอไม่ได้ล้มลงอย่างที่คาด หากแต่มือเจ้ากรรมของข้าพเจ้าดันยื่นไปถึงตัวเธอแล้ว ความนุ่มนิ่มแบบหนั่นแน่น บอกกับข้าพเจ้าว่า มันได้สัมผัสเข้ากับก้นอันกลมกลึงเข้าอย่างเต็มรัก และก่อนจะทันกระชากมือกลับมานั่นเอง เสียงของเธอก็แผดลั่นไปทั้งตู้โดยสาร

“ไอ้เหี้ย! ไอ้โรคจิต” … “หนูเห็นมันมองตั้งแต่ขึ้นมาแล้ว”

แถมด้วยคำด่าทออีกยืดยาวจนข้าพเจ้ามึนงง

เพียงเท่านั้นเอง ผู้คนทั้งหมดในขบวนรถ ซึ่งก่อนหน้านี้จมอยู่แต่กับโลกของตน รวมถึงบรรดานักปฏิวัติที่ข้าพเจ้าแอบมองอย่างฉงนสนเท่ห์นั้น ทุกสายตาจับจ้องมาทางข้าพเจ้าอย่างกับจะบดกลืนให้ถึงตายกันไปข้าง สีหน้าออง ซาน ซูจี ส่อถึงความเหยียดหยามข้าพเจ้าอย่างเต็มคาราเบล เชกับฟิเดล คาสโตร แสดงท่าทีฮึดฮัด เหมือนจะปรี่เข้ามาเอาเรื่อง อีกทั้งท่าทีสงบนิ่งของของท่านรพินทรนาถ ก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นความกระเหี้ยนกระหือรือ ท่านหยิบสมาร์ตโฟนจากย่ามด้วยความว่องไว ก่อนยกขึ้นบันทึกคลิปวิดีโอ

เหมือนประสาทการรับรู้กระจัดกระจายเป็นเสี่ยง ภาพรายรอบที่ถาโถมเข้ามา หมุนวนเป็นเกลียวคลื่น สีสันฉูดฉาด และหม่นเศร้า พุ่งแน่ว และย้อนทวน เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของกระบวนนักปฏิวัติทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้อ่านอย่างหมกมุ่นมาแต่คืนวาน บัดนี้ใบหน้าของผู้คนบนขบวนรถไฟฟ้า คล้ายหลอมละลายกลายเป็นใบหน้าของอับราฮัม ลินคอล์น, เนลสัน แมนเดลา, มหาตมะ คานธี, เหมาเจ๋อตง, มาร์ติน ลูเธอคิงส์, วลาดิมีร์ เลนิน และนักปฏิวัติอีกหลายต่อหลายคนที่ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งในยุคสมัยแห่งความจริงลวงนี้ ตัวอักษรสื่อสารจากในตำราเล่มเขื่อง ซึ่งบันทึกเรื่องราวชีวิต และทฤษฎีของท่านทั้งหลาย กำลังโถมทับข้าพเจ้าอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเกินจะแบกรับ

มนุษย์ธรรมดาๆ อย่างข้าพเจ้า คงทำพลาดครั้งยิ่งใหญ่ โดยการสะเออะยื่นมือน้อยๆ ของตน เข้าสอดประคองก้นนุ่มนิ่มของหญิงสาวด้วยความปรารถนาดี เกรงว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเล็กๆ แต่ผลของมันกลับเลยเถิดไปตามการรับรู้ของเธอ และยังขยายขอบเขตออกไปสู่ปริมณฑลของสิ่งมีชีวิตโดยรอบ ท่ามกลางสายตา และเสียงก่นด่านั้น แวบหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นมือทุกคู่ที่ล้อมเข้ามา กำลังกดถ่าย และบันทึกภาพเหตุการณ์ ด้วยแววตาของสัตว์นักล่า

ข้าพเจ้าทำได้เพียงก้มหน้าก้มตา แบกรับความอัปยศไปตลอดเส้นทางที่เหลือ เลิกคิดจะชี้แจงใดๆ คำพิพากษาด่าทอ และสาปแช่ง หลุดร่วงมาจากผู้คนทั้งตู้โดยสาร ดั่งว่าข้าพเจ้าคือคนนอกรีต ผู้ฝ่าฝืนกฎการปฏิวัติ ของนักปฏิวัติผู้ดีงาม

 

สถานีสยาม…

ความขุ่นมัว ผสมความอับอาย โถมเข้าจู่โจมอย่างไม่ยอมลดละ มันแผ่รังสีออกมาจากสายตาทุกคู่ในตู้โดยสาร ข้าพเจ้าตาเหลือกตาลาน รีบก้าวลงสู่ชานชาลาสถานี กระทั่งขบวนรถเคลื่อนออกไปแล้วนั่นแหละ จึงเริ่มคลี่คลายลง…

ขณะเดินใกล้ถึงร้านที่นัดไว้กับเพื่อน เห็นไกลๆ แล้วว่าพวกมันนั่งกันอยู่ก่อนสองสามคน บรรยากาศหอมอวลกลิ่นกาแฟโชยมาบางเบา ข้าพเจ้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้น เมื่อเดินถึงกลุ่ม ทั้งหมดเงยหน้ามอง พร้อมแสดงสีหน้าอึดอัดยากอธิบาย บางคนขอตัวลุกออกด้านนอก ยังไม่ทันได้ทักทายใคร ก่อนทั้งหมดจะพากันเดินออกจากร้าน ทิ้งให้ข้าพเจ้ายืนงงเป็นไก่ตาแตก กลิ่นตุๆ ของกระแสมาคุเริ่มโชยชาย เหลียวมองโดยรอบ ผู้คนในร้าน ต่างหันมองมาทางข้าพเจ้าเป็นจุดเดียว ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกหยามหยัน เหยียดเยาะ หลายคนแสดงความรังเกียจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แวบหนึ่ง ข้าพเจ้ามองเห็นบรรดานักปฏิวัตินับร้อย ปะปนอยู่ในฝูงชนทั้งหลายเหล่านั้น

ถึงวินาทีนี้ ภาพในจอประสาทตาของข้าพเจ้า เริ่มพร่าเบลอ สับสนไม่เป็นรูป และก่อนที่ความมืดดับจะครอบงำ คล้ายข้าพเจ้ามองเห็นภาพตัวเอง ปรากฏอยู่บนจอ LED ขนาดใหญ่ภายในร้าน ท่ามกลางผู้คนแห่งมหานครสงบสุขแห่งนี้ •