ไปโหวตเปลี่ยนแปลงประเทศกัน!

เกษียร เตชะพีระ

การเมืองวัฒนธรรม | เกษียร เตชะพีระ

 

ไปโหวตเปลี่ยนแปลงประเทศกัน!

 

ในช่วงคืนวันอันมืดมิดที่สุดในรอบหลายสิบปีของชีวิตประเทศนี้ ขณะนักการเมือง นักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการ ศิลปิน ฯลฯ นับร้อยๆ คนถูก คสช.ใช้อำนาจเผด็จการทหารอาญาสิทธิ์ เรียกตัวไป “ปรับทัศนคติ” อย่างไม่รู้ชะตากรรมหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557…

ใครคนหนึ่งได้นำเอาบทสุดท้ายของคำกลอน “มันเป็นเพียงวันนี้เท่านั้นเอง” ซึ่งผมเขียนไว้ตั้งแต่หลังป่าแตกตอนครึ่งหลังของทศวรรษ 2520 แล้วสำนักพิมพ์ชายขอบของคุณสฤณี อาชวานันทกุล นำมารวมเล่มพิมพ์ใน มันเป็นเพียงวันนี้เท่านั้นเอง : รวมกาพย์กลอนการเมืองในทศวรรษอันสาบสูญ (มีนาคม 2557, น.83-85) มาลงพิมพ์ในหน้าโฆษณาของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พร้อมคำลงท้ายว่า “ถึงเพื่อนผู้กำลังสิ้นหวัง”

ผมได้รับสำเนาโฆษณาชิ้นนี้ในเวลาต่อมา และจนทุกวันนี้ก็ยังไม่ทราบว่าผู้ริเริ่มเอากลอนบทนั้นไปลงโฆษณาอย่างแหวกแนวเด็ดเดี่ยวดังกล่าวเป็นใคร ได้แต่รู้สึกชื่นชม ตื้นตันและซาบซึ้งใจ

นึกขอบคุณแทนเพื่อนคนไทยทั้งหลายที่ได้เห็นประกายความหวังซึ่งผู้ไม่ยอมสยบจำนนหาวิธีจุดขึ้นท่ามกลางความมืดนั้น

หน้าโฆษณาของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อ 26 มิถุนายน 2557 ที่บรรณาธิการสื่อออนไลน์ถ่ายภาพส่งให้

อันที่จริงระยะเวลาราวทศวรรษครึ่งหลังสงครามเย็นและหลังเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม 2535 เป็นช่วงที่การเมืองไทยและการเมืองโลกค่อนข้างสงบและเปี่ยมความหวังในทางที่ดีขึ้น จนผมเขียนไว้ในคำนำหนังสือ วิวาทะโลกานุวัตร (2538) ที่มอบเป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกสาวว่า “หวังว่าโลกในศตวรรษหน้าที่เราจะทิ้งไว้ให้เธอ จะงดงามกว่านี้”

ทว่า ความขัดแย้งรุนแรงนับแต่สหัสวรรษใหม่โดยเฉพาะในบ้านเราทำให้ความหวังของผมหม่นมัวไป ตั้งแต่สงครามปราบยาบ้า สงครามในสามจังหวัดชายแดนใต้ ม็อบพันธมิตรฯ รัฐประหาร คปค. การปราบปรามฆ่าหมู่ม็อบเสื้อแดง ม็อบ กปปส. และรัฐประหาร คสช.

สำหรับคนรุ่นผมที่ผ่านเหตุการณ์มวลชนลุกฮือโค่นเผด็จการทหารเมื่อ 14 ตุลาคม 2516, การสังหารหมู่กับรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 และสงครามประชาชนในชนบทของ พคท. เมื่อทศวรรษ 2510 และ 2520 มา

ผลลัพธ์ของระบอบเผด็จการทหารอาญาสิทธิ์ล่าสุดของ คสช. เลวร้ายย่ำแย่กว่าที่คาดคิด

 

ดังปรากฏว่าในการประเมินทางวิชาการของนักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์และนักหนังสือพิมพ์อาวุโส

ระบอบประยุทธ์ได้กระชากลากดึงการเมืองการปกครองไทยถอยหลังถูลู่ถูกังไปไกลกว่ายุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ของรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (2523-2531) และยุครัฐราชการรวมศูนย์อำนาจของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (2502-2506) เสียอีก

และเผลอๆ อาจกระทั่งถอยกลับไปก่อน พ.ศ.2475 ในบางด้านด้วยซ้ำ

ขณะที่ในแง่เศรษฐกิจ มันนำไปสู่ระบอบทุนนิยมเหลื่อมล้ำที่ทุนใหญ่ผูกขาดกำกับครอบกุมทุนกลางและทุนย่อยในโครงการประชารัฐรักสามัคคีและอื่นๆ แทนที่จะเปิดตลาดเสรีให้กลุ่มทุนต่างๆ แข่งขันกันอย่างเป็นธรรม

ดังเห็นได้ชัดจากกรณีอื้อฉาวทางเศรษฐกิจต่างๆ ตั้งแต่การใช้งบประมาณบริหารจัดหาวัคซีนแอนตี้โควิด-19 การโหวตคว่ำร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า การจัดสรรแบ่งปันสิทธิถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2022 ธุรกิจเผาป่า ค้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านจนฝุ่นพิษคลุ้งเมือง และค่าไฟฟ้าแพงหูฉี่ปัจจุบัน เป็นต้น

(Prajak Kongkirati and Veerayooth Kanchoochat, “The Prayuth Regime : Embedded Military and Hierarchical Capitalism in Thailand”, Trans-Regional and -National Studies of Southeast Asia, 6 : 2 (July 2018) 279-305; Supalak Ganjanakhundee, A Soldier King: Monarchy and Military in the Thailand of Rama X, Singapore : ISEAS Yusof Ishak Institute, 2022)

 

และหลังเลือกตั้ง 2562 แล้ว ระบอบอำนาจนิยมจากการเลือกตั้ง (electoral authoritarianism) หรือที่ ส.ว.เสรี สุวรรณภานนท์ เรียกว่า “เผด็จการประชาธิปไตย” (https://www.facebook.com/VoiceOnlineTH/posts/10159070864074848/) ที่ได้มาก็ยังถูกล่ามตรึงไว้ด้วยกลไก ส.ว. 250 คนที่ คสช.แต่งตั้งและมีอำนาจร่วมออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี นำไปสู่รัฐบาลผสมของพรรคการเมืองที่อ่อนแอเป็นเบี้ยหัวแตก 19 พรรค และข่าวการแจกกล้วยเลี้ยงและซื้อลิงข้ามพรรคเป็นนิจศีล

อันรวมศูนย์ความอัปลักษณ์เลวร้ายของระบอบเลือกตั้งไว้อย่างน่าบัดสีอเนจอนาถที่สุด

ดีที่สุดที่เผด็จการทหารศักดินา คสช. กับระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ให้เราได้คือแค่นี้ พาประเทศเราวกเวียนหมุนคว้างอยู่ในวังวนอดีตที่จมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ อย่างไร้ก้นบึ้ง ไม่มีทางออก มีแต่ตีบตัน

ดังนั้น ทางเลือกสำหรับเราและส่วนรวมมันชัดแก่ตากระจ่างแก่ใจ เราไม่มีอะไรให้สูญเสียเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่แล้ว

เราผ่านความมืดมิดที่สุดและความกลัวที่สุดมาแล้ว เรา ลูกหลานของเราและคนที่เรารักพึงต้องมีความหวัง มีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้

ไปโหวตเปลี่ยนแปลงประเทศกัน!

ไม่ต้องกลัวแพ้ แพ้ก็ไม่ต้องกลัว เราเลยจุดนั้นมาแล้ว

 

มองไปอีกสิบปีข้างหน้า พวกเขาพวกเราที่อยู่ทุกวันนี้ จะเป็นยังไง จะเหลืออะไร มีอะไรให้กลัว?

ให้สิ่งเลวร้ายที่สุดระเบิดเกิดขึ้นในวันนี้ พวกเขามีอะไรรับมือ พวกเรามีอะไรรับมือ เขากับเราใครมีความหวังในอนาคตยิ่งกว่ากัน?

ดังนั้น ก็ไปโหวตเปลี่ยนแปลงประเทศกันครับ สิ่งที่เราสูญเสียมีแต่ความกลัวและความสิ้นหวัง แต่สิ่งที่เราจะได้มาคือเมืองไทยในหวังในฝันของเราและลูกหลาน ที่มีกำลังแข็งแกร่งพอที่จะเดินรุดไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่หยุด เพื่อให้เพื่อนไทยร่วมชาติได้อยู่ร่วมกันอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ด้วยสิทธิเสรีเสมอภาคกัน