ปลุกขวาจัด-ไพ่สุดท้ายของบิ๊กตู่ | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ไม่ว่าจะเป็นกระแสจากโพลต่างๆ ไม่ว่าจากข้อมูลเจาะลึกสนามเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ บ่งบอกว่าการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้ น่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งสำคัญ สะท้อนความต้องการของประชาชนเพื่อไปสู่การเปลี่ยนแปลง

เพราะกระแสความนิยมของ 2 พรรคประชาธิปไตย พุ่งทะยานไปอย่างมาก ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล

บางโพลก็เพื่อไทยแรงสุด บางโพลก็ก้าวไกลนำลิ่ว

ภาพรวมจึงกล่าวได้ว่า กระแสพรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างกว้างขวาง มีโอกาสสูงที่จะกวาด ส.ส.เข้าสภากันได้มากมายในการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม

ขณะที่ก้าวไกล มาแรงอย่างมากในพื้นที่ กทม. ในเมืองใหญ่ เขตจังหวัดที่ตั้งมหาวิทยาลัย และในเขตอำเภอเมืองของหลายๆ จังหวัด

ส่วนเพื่อไทย ได้ทั้งกระแส เพราะประชาชนคาดหวังการเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และได้ทั้งระบบดั้งเดิม ระบบหัวคะแนน เครือข่ายบ้านใหญ่ จึงทำให้มีโอกาสสูงมากกว่าก้าวไกล

แต่กระนั้นก็ตาม ถือได้ว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ค่อนข้างแน่นอนมากๆ เพียงแต่จะชนะมากแค่ไหน ชนะเกิน 200 หรือเกิน 250 หรือไปถึง 280 หรือไม่

ส่วนก้าวไกล มีแนวโน้มจะเข้าสภามาเป็นอันดับ 2 อย่างน้อยก็น่าจะได้ ส.ส.ราว 70 ที่นั่ง

โดยก้าวไกลจะต้องเบียดกับภูมิใจไทย ที่มาด้วยระบบดั้งเดิม โดยเป็นพรรคที่พรั่งพร้อมด้วยเสบียงกรังอย่างมาก

ประมาณว่าก้าวไกลและภูมิใจไทย น่าจะเข้าสภาเป็นพรรคอันดับ 2-3

ขณะที่พรรคลุงๆ นั้น โดนทิ้งห่างอย่างมากในเวลานี้

พรรคพลังประชารัฐ น่าจะได้รับเลือกตั้งเป็นพรรคระดับกลางๆ

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งจากโพล ทั้งจากข้อมูลในสนามเลือกตั้ง ดูแล้วเป็นพรรคที่น่าจะต่ำกว่า 50 แน่ๆ

แทบจะมองไม่เห็นโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้กลับมาสู่อำนาจได้เลย!?

 

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า พื้นที่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังพอมีคะแนนนิยมอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นภาคใต้เท่านั้น เพราะยังเป็นภาคที่มีอารมณ์ต่อต้านพรรคการเมืองฝ่ายทักษิณอย่างสุดๆ อีกทั้งที่เห็นได้ชัดคือ มวลชนภาคใต้เป็นฐานกำลังใหญ่ที่สุดของม็อบ กปปส.ที่ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยการชุมนุมชัตดาวน์ปี 2556-2557

ทำทุกอย่างให้บ้านเมืองเข้าทางตัน เพื่อเข้าทางรถถัง จน พล.อ.ประยุทธ์ก่อรัฐประหารยึดอำนาจ สอดคล้องต้องกันทั้งมวลชน กปปส. มวลชนจากปักษ์ใต้ และกองทัพ

ภาคใต้จึงยังเป็นพื้นที่หลัก ที่ พล.อ.ประยุทธ์มีโอกาสได้รับคะแนน

นอกจากนั้น โอกาสของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะอยู่ที่กลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น ในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง ราว 10-20 ที่นั่ง

แต่ภาคใต้เอง แม้กระแสนิยมประยุทธ์ขึ้นสูง แต่การช่วงชิง ส.ส.เขต ยังน่าหนักใจ

เพราะเจ้าถิ่นเดิมคือประชาธิปัตย์ เริ่มตั้งหลักได้ เริ่มแข็งแกร่งขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ แถมยังมีพรรคภูมิใจไทย ที่มุ่งชิง ส.ส.เขตในจังหวัดย่านอันดามัน มีพลังประชารัฐที่ยังช่วงชิงในบางพื้นที่ แถมลงไป 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็มีพรรคประชาชาติ ที่ยึดพื้นที่ได้เหนียวแน่น

ดังนั้น ภาคใต้ อาจจะมีความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์สูง เพราะความผูกพันเชื่อมโยงมาตั้งแต่ม็อบ กปปส. และการรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ แต่โอกาสจะได้ ส.ส.เขตก็ยังหนักหนาสาหัสอยู่

กระนั้นก็ตาม โอกาสในช่วงโค้งสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์และรวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะมุ่งพื้นที่ภาคใต้นั่นเอง

ที่น่าสนใจก็คือ การปราศรัยหาเสียงของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มุ่งปลุกอุดมการณ์อนุรักษนิยมการเมือง แนวขวาจัดสุดๆ

โดยเมื่อไม่นานมานี้ ได้กล่าวปราศรัยด้วยการยกอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขึ้นมาเชิดชู

แล้วตั้งคำถามว่า ยอมหรือไม่ ลูกไม่ต้องไหว้พ่อแม่ ไม่ต้องไหว้พระ ไม่ต้องมีศาสนา ทำลายอย่างนั้นไม่ได้!?

เชื่อว่ามีเจตนาเพื่อโจมตีพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่ได้ปลุกเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ตื่นตัวทางการเมือง กล้าพูด กล้าโต้เถียง ไม่เชื่ออะไรตามคำสั่งสอนเดิมๆ โดยไม่อธิบายเหตุผล ไม่มีหลักฐานความเป็นมา

ก็เลยงัดภาษาโฆษณาชวนเชื่อยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์ ช่วงปี 2500 ขึ้นมาใช้โจมตีพรรคคนรุ่นใหม่

โดยในช่วงปี 2500 โดยเฉพาะปี 2508 ที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยเริ่มต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ โฆษณาชวนเชื่อของกองทัพในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ก็ใช้ภาษาแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้

เช่น คอมมิวนิสต์จะทำให้ครอบครัวแตกสลาย ลูกไม่ไหว้พ่อแม่ คอมมิวนิสต์จะทำลายศาสนา ไม่มีพระ ไปจนถึงคอมมิวนิสต์จะจับคนไปไถนาแทนควาย อะไรทำนองนั้น

พอฟัง พล.อ.ประยุทธ์พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ ช่างเหมือนภาษายุคปลุกผีคอมมิวนิสต์ในอดีตจริงๆ

 

ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 เทคนิคของ พล.อ.ประยุทธ์คือ การปลุกผีความขัดแย้งเสื้อแดง-เสื้อเหลือง ว่าจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง มีม็อบ มีการไล่ตีกัน มีเสียงปืน เสียงระเบิด ดังนั้น ถ้าต้องการความสงบต้องจบที่ลุงตู่

แต่ผ่านมา 4 ปี พบว่า พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นคู่กรณีเสียเอง ยิ่งอยู่ยิ่งเกิดความขัดแย้ง ยิ่งไม่สงบ

สำคัญสุดคือปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ซึ่งรัฐบาลทหาร ไม่มีทางจะมีวิสัยทัศน์ในการสร้างเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองได้

คำว่าเลือกลุงตู่ได้ความสงบ ได้กลายเป็นคำล้อเลียนไปแล้วว่า สงบจริงๆ คือ เศรษฐกิจการค้าสงบราวป่าช้า

ดูเหมือนการเลือกตั้งปี 2566 พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องพลิกประเด็นการหาเสียงใหม่ ด้วยการขายอุดมการณ์อนุรักษนิยมขวาจัด

เป็นโอกาสเดียวที่จะปลุกให้คนรุ่นเก่าๆ คนสูงอายุในสังคมไทย เกิดความหวาดผวาในพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่เช่นก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยที่โดนข้อกล่าวหาคล้ายๆ กัน

ที่สำคัญ แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยหนนี้ หนึ่งในนั้นคือ นายเศรษฐา ทวีสิน ผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการบริหารธุรกิจ กลายเป็นจุดดึงดูดประชาชนว่า มีฝีมือในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจแก้ปัญหาปากท้องได้รวดเร็ว

เป็นอันโดน พล.อ.ประยุทธ์แซะทันที เขาทำอะไรมาก่อน เขาเป็นนักธุรกิจ ประเทศนี้ไม่ใช่ธุรกิจ

ทั้งที่ความจริงแล้วการโจมตีนายเศรษฐาของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็สะท้อนทัศนคติโบราณ รัฐราชการเป็นใหญ่ ราชการกองทัพเป็นใหญ่

ขณะเดียวกันการโจมตีพรรคคนรุ่นใหม่ก้าวไกล ด้วยการปลุกผีให้คนสูงวัยหวาดกลัว เหมือนสมัยปลุกผีคอมมิวนิสต์ปี 2500 เด็กจะไม่ไหว้พ่อแม่ ไม่ไหว้พระ ไม่มีศาสนา

นี่คือไพ่ใบสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ เน้นปลุกอุดมการณ์ขวาจัด ต่อต้านนักธุรกิจ ต่อต้านคนรุ่นใหม่

รวมถึงเน้นลงรักษาฐานมวลชนในภาคใต้ ซึ่งเหลืออยู่ภาคเดียวที่ยังชิงชังเครือพรรคฝ่ายทักษิณอยู่

แต่จะได้ผลแค่ไหน การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมจะบอกได้

ในขณะที่ข้อเท็จจริงในวันนี้บ่งบอกว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล มาแรงสุดๆ และยิ่งทิ้งห่างพรรคลุงๆ มากขึ้นเรื่อยๆ