[X]CLUSIVE พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในแง่มุม ‘นอก’ การเมือง สัมพันธ์ครอบครัวชินวัตร-แม้ว-อุ๊งอิ๊ง

ในสนามการเลือกตั้งอันดุเดือด

ส่งผลให้วันนี้ ทำให้ภาพ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของพรรคเพื่อไทย

กลายเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องแข่งขันกับคนในครอบครัวครัว “ชินวัตร” อย่าง อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รวมถึงนายเศรษฐา ทวีสิน และนายชัยเกษม นิติสิริ

ซึ่งนับวันจะแข่งขันรุนแรงขึ้น ถึงขนาดมีการมองว่าพรรคก้าวไกล อาจจะไม่สามารถร่วมงานกับเพื่อไทยได้

แม้ในการเมือง จะมีภาพเช่นนั้น

แต่ “นอกการเมือง” นายพิธา ดูจะมีความเป็นมาที่สนิทสนมใกล้ชิดคนในครอบครัวชินวัตรไม่น้อย

เพราะต้องไม่ลืมว่า พิธาคือหลานลุงของนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ คนที่เคยใกล้ชิดนายทักษิณ ชินวัตร มาก

และการเริ่มต้นการเมืองก็เกี่ยวพันกับคนไทยรักไทยที่นายทักษิณก่อตั้งนั่นเอง

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์รายการ [X]CLUSIVE โดยสรกล อดุลยานนท์ ในแคมเปญ “มติชนเลือกตั้ง ’66 บทใหม่ประเทศไทย” ถึงความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวชินวัตร ว่า อย่างคุณเอม (พิณทองทา) คุณอุ๊งอิ๊ง กับพี่โอ๊ค (พานทองแท้) นี้ก็เห็นมานาน ตั้งแต่พวกเขาตั้งบริษัท she @ mood

แล้วที่สนิทหรือได้มีโอกาสพูดคุยมากหน่อยก็คือคุณพงศ์ (ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์) สามีคุณเอม เขาเป็นเด็กอัสสัม ผมเด็กคริสเตียน อายุก็จะใกล้เคียงกัน ช่วงนี้ก็ยังไลน์คุยกันอยู่บ้าง

แต่กระนั้น การย่างเท้าเข้าสู่การเมืองของพิธา ไม่ได้มาทาง “ชินวัตร” แต่เข้าไปในทางทีมงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมัยอยู่พรรคไทยรักไทยมากกว่า

โดยพิธาเล่าว่า ตอนเกิดสึนามิที่ภาคใต้ มีทีมงานของรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาชวนไปทำงานให้กับหลายกระทรวง พวกกระทรวงพลังงาน และไปดูนโยบายการท่องเที่ยวหลังสึนามิเป็นอย่างไร ทั้งเรื่องต้นทุน และรายได้ของนักท่องเที่ยว เลยได้มาเจอกับทีมงานของฝั่งรัฐบาลปี 2547-2548 ก่อนมีรัฐประหารปี 2549

“ผมอยู่กับทีมคุณสมคิด คุณอุตตม สาวนายน คุณสุวิทย์ เมษินทรีย์ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ รวมถึงหมอมิ้ง (นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ก็เคยเจอตอนที่ทำงานให้กระทรวงพลังงาน ตอนนั้นหมอมิ้งท่านเป็นรัฐมนตรี ผมอยู่ในทำเนียบรัฐบาลเป็นเลขานั่งอยู่ข้างหลังสุดเวลาเจ้านายเขาประชุมกัน ก็จดว่าข้าราชการแต่ละคนเป็นยังไง คอยจดๆ อยู่ข้างหลัง ถ้าเกิดเขาขอว่าตะกร้าเงินเฟ้อนี้ไม่เวิร์กช่วยคิดใหม่หน่อยว่าประเทศอื่นเขาทำยังไง เราก็จะเป็นคนเขียน Speech ยื่นให้อาจารย์สุวิทย์บ้าง อาจารย์อุตตมบ้าง ก็เป็นภาพทางการเมืองอันหนึ่งที่เห็นในเรื่องของฝ่ายทำเนียบรัฐบาล ฝ่ายบริหาร”

“หลังจากนั้นผมก็มาเป็นเลขากรรมาธิการต่างประเทศ ค่อยๆ พัฒนา มาจากเด็กหลังห้องที่ครูพักลักจำมา กลายมาเป็นตัวผมในปัจจุบัน”

“ครูการเมืองของผมคนแรกที่สอนให้หาเสียงคือ น.ต.ศิธา ทิวารี พรรคไทยรักไทย เขตคลองเตย อีกคนคือคุณจักรภพ เพ็ญแข”

เมื่อถามว่าความสัมพันธ์ข้างต้นจะมีผลต่อความสัมพันธ์ เพื่อไทย-ก้าวไกล ในปัจจุบันและอนาคตหรือไม่ รวมทั้งจะมีปัญหาอะไรไหม

พิธากล่าวว่า “ผมว่าแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างกันได้ แล้วก็เอาประชาชนมาเป็นตัวตั้ง เอาโจทย์ประเทศมาเป็นตัวตั้ง ผมคิดว่าการเมืองเรื่องส่วนตัวมันก็ระดับหนึ่ง แต่เรื่องของอุดมการณ์ เป้าหมายทางการเมือง หรือการที่เรามาเป็นนักการเมือง มันไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวแต่มันต้องคิดว่าต้องทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในลักษณะแบบไหนเป็นเรื่องของ Professional มากกว่า”

ถามว่า เห็นความโหดร้ายของการเมืองแล้ว ทำไมยังก้าวเข้ามา

พิธาบอกว่า “ด้วยความที่ผมไปโตอยู่ต่างประเทศมามากพอสมควร อะไรที่การเมืองเขาดีแล้วปากท้องเขาดีและมีอนาคตอย่างนิวซีแลนด์ หรือหลายๆ ประเทศ สแกนดิเนเวียที่ผมเห็นแล้วเป็นโมเดลที่เหมาะสม หรืออย่างญี่ปุ่น เกาหลีที่เคยเป็นเผด็จการมาก่อนแล้วพลิกกลับมาได้ ก็เลยคิดว่าประเทศไทยสักวันก็ต้องทำได้เหมือนกัน แล้วจากการที่เราทำอยู่เบื้องหลังมาตลอดเลยคิดว่าเราทำได้ เลยอยากจะลองสักตั้งหนึ่ง”

 

สําหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่พรรคก้าวไกลถูกมองว่าขัดแย้งกับเพื่อไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรคก้าวไกลเจอกับดักแลนสไลด์เพื่อไทยหรือเปล่า

พิธาบอกว่า “พูดกันตรงไปตรงมาผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นกับดัก การเมืองมันเป็นเรื่องการแข่งขันและผมก็เชื่อว่ายิ่งเป็นการแข่งขันที่ดีก็ยิ่งได้ประสิทธิภาพที่ดี แล้วสิ่งที่เพื่อไทยนำเสนอประชาชนคือเรื่องของแลนสไลด์ เรื่องของจำนวนนั้น ในมุมมองของผม จุดที่จะต้องสู้กับสิ่งที่เขาเสนอคือต้องนำเสนอสิ่งที่ต่างกว่า สิ่งที่เหมาะสมกับตัวตนของเราและประเทศไทย”

“ต้องชวนกันตั้งคำถามใหม่ก็คือไม่ใช่เพียงคนกลุ่มหนึ่ง ตั้งคำถามว่าทำยังไงให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปต่อ แล้วก็มีอีกกลุ่มถามว่าทำยังไงให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่ของเราตั้งคำถามที่กว้างกว่า”

“นั่นคือทำยังไงให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม เลือกตั้งครั้งนี้คือการกำหนดอนาคตของประเทศ มาออกแบบประเทศด้วยกัน ทำให้ประเทศของเราไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝุ่น PM 2.5 ทุนจีน หรือยาเสพติด มันต้องการอะไรที่มากกว่าสิ่งที่นักการเมืองเดิมๆ ทำไม่ได้หรือไม่เคยทำ”

“มันไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวซูเปอร์แมนหนึ่งคนไปเป็นซูเปอร์แมนอีกฝั่งหนึ่ง แต่เราต้องการเอาการเมืองทลายข้อจำกัดพวกนี้ออกไป หรือกระจายอำนาจ ให้กระจายความเสี่ยงไปในแต่ละจังหวัด ทลายทุนผูกขาด การเอาทหารออกจากการเมือง นี่คือเจตจำนงที่มีความจำเป็น การที่จะให้มีทหารอยู่เหนือพลเรือน มีธุรกิจทหาร แบบนี้ถ้าเกิดคุณไม่เห็นด้วยและไม่เอาแบบนี้คุณก็ต้องเอาก้าวไกล”

พิธาย้ำถึงเป้าหมายการได้ ส.ส. ว่าจะต้องมากกว่าเดิม คือ กทม.หวังทั้ง 33 เพราะเรามาเป็นอันดับ 1 ในคราวที่แล้วผลของ ส.ก. ที่ออกมามาเป็นอันดับ 1 15 เขต และอันดับ 2 เยอะพอสมควร เวลาจะประเมินศักยภาพของแต่ละเขตผมมีวิธีคิดที่ได้มาจากเมืองนอกคือ 4 ค 1.คะแนนเก่า 2.แคนดิเดต 3.คู่แข่ง 4.คัสตูมเมอร์ เวลาลงพื้นที่ก็จะดู 4 ประเด็นนี้เป็นหลักว่า คู่แข่งเป็นยังไง แคนดิเดตผมแข็งไหม คะแนนเก่าเป็นยังไง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส คนรุ่นใหม่ทั้งนั้นเลย กลุ่มแต่ละกลุ่มเวลาเราลงพื้นที่ ผมไม่เคยปราศรัยซ้ำกัน เพราะในหัวผมรู้อยู่แล้วว่าผมต้องขายอะไร หรือเน้นอะไร

ถามว่าหากได้ ส.ส.มากและมีโอกาสตั้งคณะรัฐมนตรี ตั้งเงื่อนไขอะไรที่ได้-ไม่ได้ พิธาบอกทันทีว่า ที่ไม่ได้แน่ๆ ก็คือพรรคทหาร ถ้าใน ครม.นั้นมีทหารอยู่ มีที่มาจากการสืบทอดอำนาจ ก็จะไม่มีก้าวไกลอยู่ในนั้น

ส่วนนโยบายที่ต้องผลักดันให้สำเร็จเป็นนโยบายเรือธง คือการทลายทุนผูกขาด

“ผมต้องได้กระทรวงที่ทำสุราก้าวหน้าได้ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่น้องแรงงานก็จะเป็นเรื่องของกระทรวงแรงงาน ถ้าอยากดูว่าที่พูดผมทำได้ไหมให้ไปดูว่า 4 ปีที่ผ่านมาพรรคผมเป็นประธานกรรมาธิการอะไรบ้าง เพราะประธานกรรมาธิการก็คือรัฐมนตรีเงา ถ้าได้รัฐมนตรีที่เกี่ยวกับสมรสเท่าเทียม ค่าแรง สุราก้าวหน้า 3-4 อันนี้ที่คิดว่าเป็นลายเซ็นของพรรค”

ส่วนเรื่องจุดยืนมาตรา 112 ที่อาจจะทำให้พรรคอื่นปฏิเสธพรรคก้าวไกลนั้น

พิธาบอกว่า การแก้ไข 112 ไม่ใช่เรื่องใหม่มีมาตั้งแต่สมัยอาจารย์คณิต ณ นคร แล้วก็มีการพูดกันมาทุกๆ 5 ปี 10 ปี แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับก้าวไกลเพราะเรายื่นมาตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2564 เพราะฉะนั้นจุดยืนของก้าวไกลก็เป็นอะไรที่พรรคอื่นรู้อยู่แล้ว

อย่าลืมติดตาม https://www.youtube.com/@MatichonWeekly/videos