ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
ผู้เขียน | เพ็ญสุภา สุขคตะ |
เผยแพร่ |
เส้นทางอันยาวไกลและแสนสลับซับซ้อนของ “พระพุทธสิหิงค์” ที่ดิฉันได้ถอดคลิปเสียงวิทยากรแต่ละท่าน เป็นเวลาต่อเนื่องกันถึง 9 สัปดาห์ ณ บัดนี้ก็มาถึงตอนอวสานแล้ว เชื่อว่าผู้ที่เคยฟังการเสวนาเรื่องนี้จากรายการคลับเฮาส์ เมื่อมาอ่านซ้ำแบบช้าๆ ทีละประเด็น น่าจะทำให้ท่านได้ทบทวนองค์ความรู้อย่างรอบด้านอีกครั้ง และเกิดความกระจ่างมากขึ้นกว่าการฟังสด
ดิฉันจะขอสรุปให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมอยู่สองประเด็นหลัก นั่นคือ ประเด็นใดบ้างที่ได้รับการคลี่คลายปมแล้ว กับยังเหลือประเด็นไหนอีกไหมที่ยังคลุมเครือ ที่เราจะต้องช่วยสืบค้นกันต่อไป
ประเด็นที่คลี่คลายปมแล้ว อันที่จริงมีหลายประเด็น แต่ในพื้นที่อันจำกัดนี้ขอนำเสนอ 3 เรื่องหลักๆ คือ 1.ความหมายของคำว่าพระพุทธสิหิงค์-พระสิงห์ 2.เส้นทางการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปตามที่ต่างๆ 3.ท่านั่งขัดสมาธิเพชร Vs ขัดสมาธิราบ
ส่วนประเด็นที่ยังคงเป็นปมปริศนา ก็ขอนำเสนออีก 3 ประเด็นหลัก 1.พระพุทธสิหิงค์กับลัทธิลังกาวงศ์ ตกลงสวนดอกหรือป่าแดง? 2.แม่เจ้าเมืองกำแพงเพชรมีสัมพันธ์สวาทกับท้าวสองแควหรือท้าวมหาพรหม? 3.ท้าวมหาพรหมได้พระพุทธสิหิงค์ยุคพระญากือนาหรือยุคพระญาแสนเมืองมา?
กลุ่มประเด็นหลังที่ยังไม่กระจ่างชัด คงต้องขอยกยอดไปคุยกันต่อในฉบับหน้า เพราะประเมินปริมาณของเนื้อหาแล้ว เนื้อที่ไม่พอแน่ๆ
ความหมายของ “สิหิงค์-สีหล-สหิง-พระสิง”
จากเดิมนั้น ผู้รู้ให้นิยามคำว่า “สิหิงค์” ไว้อยู่ 3 ความหมาย แต่หลังจากฟังรายการคลับเฮาส์จบ มีเพิ่มมาอีก 1 นัยยะ
นิยามแรก พระโพธิรังสีผู้รจนา “สิหิงคนิทาน” ราว พ.ศ.1945-1984 (ตัวเลขคร่าวๆ โดยยึดเอาปีครองราชย์ของพระญาสามฝั่งแกนเป็นหลัก) อธิบายว่า “สิหิงค์” มาจาก “สีห + องค์” หมายความว่ามีรูปร่างสง่างามราวราชสีห์
อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิด้านโบราณคดีของกรมศิลปากร ช่วยปรับแก้ให้ใหม่อีกนิดเป็น “สีห + อิงค” อิงค = Gesture แปลว่าลีลา ท่าทาง มาด เนื่องจากคำว่า “องค” โดยปกติจะแปลว่าอวัยวะ (เพศ)
นิยามที่สอง ปรากฏอยู่ในเรื่อง “สีหลปฏิมา” เป็นบทหนึ่งที่แทรกอยู่ในหนังสือ “ชินกาลมาลีปกรณ์” รจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระปี 2060 ตรงกับสมัยพระเมืองแก้ว เป็นการแต่งขึ้นหลังสิหิงคนิทานประมาณ 1 ศตวรรษ
พระพุทธสิหิงค์ ในความเข้าใจของพระรัตนปัญญาเถระคือ พระพุทธรูปที่มาจากเกาะสิงหล (สีหล) หรือเกาะลังกา สะท้อนถึงความสัมพันธ์ว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิลังกาวงศ์อย่างแนบแน่น
นิยามที่สาม ตัวอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์เอง วิเคราะห์ไว้ในหนังสือที่ท่านเขียนให้กับนิตยสารศิลปวัฒนธรรมว่า คำที่ถูกต้องไม่น่าจะเป็น “สิหิงค์” แต่น่าจะเป็น “สหิง” มากกว่า อันเป็นภาษามอญตกค้างจากยุคหริภุญไชย ที่มักเรียกพระพุทธรูปที่มีความงดงามเห็นแล้วสบายตาสบายใจน่าอภิรมย์ว่า “สฮิง สเฮย”
โดยอาจารย์พิเศษอ้างจารึกที่ฐานพระพุทธรูปองค์หนึ่งในวัดพระเจ้าเม็งราย เชียงใหม่ที่เขียนว่า “พระสหิง” ไม่ใช่ “พระสิหิงค์”
นิยามที่สี่ หรือนิยามล่าสุด ให้ไว้โดย ศ.อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว ผ่านการเขียนบทความในวารสารของราชบัณฑิตยสภาพ และถ่ายทอดซ้ำโดยลูกศิษย์ทั้งสองของแม่ครูคือ เฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมี และเมธี ใจศรี ว่า
“พระสิงห์” อันที่จริงหมายถึง “พระสิงเมือง” (ไม่มี ห์) เริ่มต้นจากการนำอัฐิพระญาคำฟูซึ่ง “ตายขึด” หรือสวรรคตแบบไม่ค่อยดี มาเป็นอารักษ์เมืองเชียงใหม่ เป็นการสถาปนาพระพุทธรูปอันเป็นเรื่องราวของ “พุทธ” มาทับซ้อนกับคติการนับถือ “ผี” ของชาวล้านนาที่มีมาแต่ดั้งเดิม
โดยยืนยันว่า แม้แต่ชาวแสนหวีตอนขโมยพระสิงไป ยังเรียกว่า “หุ่นผี”
หมายความว่า คติการบูชา “พระสิงเมือง” หรืออารักษ์เมือง (ดวงวิญญาณพระญาคำฟู) มีมาก่อนแล้ว โดยกู่อัฐิของท่านตั้งอยู่ในวัดลีเชียงพระ ตั้งแต่สมัยพระญาผายู (พ.ศ.1879-1898) ผู้เป็นโอรสของคำฟู สืบมาจนถึงยุคพระญากือนา (พ.ศ.1898-1928)
กระทั่งถึงสมัยพระญาแสนเมืองมาได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเชียงรายมาไว้ที่เชียงใหม่ในช่วงปี 1928-1929 (ปีแรกๆ ที่แสนเมืองมาเสวยราชย์) เป็นการเอาพระสิงห์มาทับที่ จุดที่เคยมีอารักษ์เมืองหรือพระสิงห์เมือง ทำให้วัดลีเชียงพระเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดพระสิง(ห์)”
นิยามทั้ง 4 นัยยะนี้ ดิฉันเห็นว่าควรนำไปศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียด อย่าเพิ่งด่วนตัดนัยยะใดนัยยะหนึ่งทิ้งไปทันที
เส้นทางการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปตามที่ต่างๆ
ประมวลจากทั้งตำนาน + พงศาวดาร + คำให้การ + ประวัติศาสตร์ คือทั้งเรื่องเล่าและเหตุการณ์จริง ลำดับเส้นทางและเกตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ได้ดังนี้
1. ตำนานระบุว่าสร้างขึ้นในเกาะลังการาว พ.ศ.700
2. อัญเชิญมาไว้ที่นครศรีธรรมราช ปีเดียวกันกับที่สร้างพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช โดยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้มา ตรงกับสมัยพระโรจนราช (สันนิษฐานว่าหมายถึงพ่อขุนศรีอินทราทิตย์) ผู้ที่มาเปิดประเด็นว่าลังกามีพระพุทธสิหิงค์ แล้วขอให้ทางนครศรีธรรมราชช่วยไปขอให้จากลังกา
3. อัญเชิญขึ้นมาไว้ที่กรุงสุโขทัย ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
4. ย้ายไปอยู่สองแคว (อีกชื่อคือชัยนาท) หมายถึงเมืองพิษณุโลก
5. ย้ายไปอยู่กำแพงเพชร ในสมัยพระญาณดิศ กิตติศัพท์ความงามความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธสิหิงค์เป็นที่เลื่องลือ ทำให้ท้าวมหาพรหม (อนุชาของพระญากือนา กษัตริย์เชียงใหม่) เจ้าเมืองเชียงราย ยกทัพมาขอ
6. เจ้าเมืองกำแพงเพชรเกรงว่าเจ้าเมืองสองแควจะโกรธ ขอให้เอาพระพุทธสิหิงค์ไปไว้ที่เมืองตาก ชั่วคราวก่อน เพื่อรอท้าวมหาพรหมมารับ ณ จุดครึ่งทาง (คือไม่ให้มารับที่กำแพงเพชร)
7. ท้าวมหาพรหมนำไปไว้ที่เชียงราย และพระองค์คือผู้ที่กระทำการต่อนิ้วพระหัตถ์ที่ไม่สมบูรณ์ให้พระพุทธสิหิงค์ (สะท้อนว่าท้าวมหาพรหมคือบุคคลผู้มีบุญญาธิการตามคำทำนายของพระอรหันต์ลังกา)
8. ท้าวมหาพรหมนำพระพุทธสิหิงค์ไปทำพิธีพุทธาภิเษกที่เกาะดอนแท่น กลางแม่น้ำโขง เชียงแสน
9. พระญาแสนเมืองมาต่อสู้กับพระเจ้าอาว์ (ท้าวมหาพรหม) จนชนะ นำพระพุทธสิหิงค์มาไว้ที่วัดพระสิงห์ เชียงใหม่
10. เจ้าเมืองแสนหวียุคที่ยังไม่รู้จักพระพุทธรูป ขโมยพระสิงห์จากเชียงใหม่ไปไว้ที่เมืองแสนหวี (หลายท่านตั้งข้อสังเกตว่า องค์ที่เอาไปนี้ขนาดเล็กมากถึงขั้นใส่ย่ามได้ อาจจะเป็นคนละองค์กับพระพุทธสิหิงค์องค์หลักหรือไม่ เพราะทุกวันนี้ที่เมืองแสนหวียังมีการกราบพระสิงห์กันอยู่ โดยระบุว่าได้มาจากเมืองเชียงใหม่ แสดงว่าไม่มีการนำองค์ที่เรียกว่า “หุ่นผี” กลับคืนเชียงใหม่?)
11. อย่างไรก็ดี พระพุทธสิหิงค์ (ที่เชื่อว่าเป็นองค์หลัก) ถูกนำกลับมาที่เชียงใหม่อีกครั้ง เอกสารบางเล่มระบุว่าสมัยพระเจ้าติโลกราชอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ขึ้นประดิษฐานในซุ้มจระนำของพระมหาธาตุเจดีย์หลวงกลางเวียงเชียงใหม่ ด้านใดด้านหนึ่ง (น่าจะทิศใต้ เพราะปกติพระพุทธสิหิงค์หันหน้าไปทิศใต้) ประกบคู่กับพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานในซุ้มจระนำด้านทิศตะวันออก
12. พระไชยเชษฐาธิราชอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปไว้ที่เมืองหลวงพระบาง ล้านช้าง พร้อมพระพุทธปฏิมาสำคัญหลายองค์ อาทิ พระแก้วมรกต พระแก้วขาว พระแทรกคำ ฯลฯ ช่วงที่บุเรงนองรุกรานล้านนา
13. พระแม่กุ กษัตริย์ล้านนาภายใต้การปกครองพม่า ยกทัพไปรับพระพุทธสิหิงค์กลับคืนมาประดิษฐานที่วัดพระสิงห์ เชียงใหม่อีกครั้ง (นำมาแค่พระพุทธสิหิงค์กับพระแก้วขาว แต่ไม่เอาพระแก้วมรกต?)
14. สมเด็จพระนารายณ์มหาราชอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานที่วัดพระศรีสรรเพชญดาญาณ กรุงศรีอยุธยา ช่วงนี้เอง (รวมทั้งก่อนหน้านั้นในสมัยพระไชยราชา ที่มีการเกณฑ์ชาวล้านนามาไว้ที่กรุงศรีอยุธยาก่อนแล้ว) ได้เกิดปรากฏการณ์การจำลองพระพุทธสิหิงค์อย่างแพร่หลายทั่วภาคกลาง โดยจำลองย้อนกลับไปสู่ภาคใต้ เกิดรูปแบบ “พระขนมต้ม” เหตุที่ตำนานอ้างว่าพระพุทธสิหิงค์เคยประทับที่เมืองนครศรีธรรมราชมาก่อน
15. ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ทหารเชียงใหม่ที่ร่วมรบกับพม่า นำกลับไปไว้ที่เชียงใหม่อีกครั้ง
16. กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชาของรัชกาลที่ 1 อัญเชิญไปไว้ที่วังหน้า ณ พระตำหนักพุทไธสวรรย์ (ทว่า ความเชื่อของชาวเชียงใหม่ ไม่ได้ให้พระพุทธสิหิงค์องค์จริงไป พระพุทธสิหิงค์ยังคงประดิษฐาน ณ วัดพระสิงห์)
17. ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 1 โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เคียงคู่กับพระแก้วมรกตอีกครั้ง หลังจากวังหน้าทิวงคต
18. ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 โปรดให้อัญเชิญกลับมาไว้ที่วังหน้าอีกครั้ง พระพุทธสิหิงค์องค์นี้เรียก “พระพุทธสิหิงค์ของกรุงรัตนโกสินทร์” ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ จวบปัจจุบัน
19. ส่วนพระพุทธสิหิงค์องค์ที่วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ ถูกคนใจบาปตัดพระเศียรเอาไปขายที่บ้านช่างหล่อ เพื่อทำกระดึงวัว พระราชชายาฯ เจ้าดารารัศมี ปรึกษาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขอให้นำพระวรกายลงมาซ่อมต่อพระเศียรใหม่ ที่โรงหล่อกรมศิลปากร ตรงกับสมัยปลายรัชกาลที่ 6 ต่อต้นรัชกาลที่ 7
20. พระพุทธสิหิงค์องค์ที่ถูกซ่อม ต่อเติมพระเศียรใหม่ถูกนำกลับคืนมายังวัดพระสิงห์อีกครั้ง
นี่เป็นเพียงการสรุปเส้นทางและเหตุการณ์สำคัญอันย่นย่อที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายเกี่ยวกับพระพุทธสิหิงค์ ฉบับหน้ามาปิดฉากวิเคราะห์ศึกพระพุทธสิหิงค์ตอนอวสาน •
ปริศนาโบราณคดี | เพ็ญสุภา สุขคตะ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022