กิจกรรมหน้าร้อน | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

ในขณะที่อุณหภูมิทางการเมืองกำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจเพราะใกล้วันเลือกตั้งเข้าไปทุกที

อากาศร้อนเดือนเมษายนก็ไม่ยอมแพ้ วันที่ผมนั่งเขียนบทความอยู่ในขณะนี้ สถิติอุณหภูมิสูงสุดของประเทศไทยถูกทำลายไปแล้วเมื่อวานนี้ เพราะอุณหภูมิของจังหวัดตากขึ้นไปสูงสุดอยู่ที่ 45 องศาเซลเซียส

นั่นแปลว่าค่าไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศของแต่ละบ้านก็จะเพิ่มขึ้นด้วยอย่างมีนัยสำคัญ

ร้อนรุ่มอย่างนี้ทำอะไรดีครับ

ถ้าไปกระโดดโลดเต้นเดินไปเดินมา ฮีตสโตรกก็จะรับประทานเสียเปล่าๆ

อย่ากระนั้นเลย เราจงมานั่งเฉยๆ แล้วนึกถึงความหลังครั้งอดีตดูบ้างว่าเรารับลมร้อนกันอย่างไร บางทีจะช่วยให้เย็นลงบ้างนะครับ

 

สําหรับคนช่างกินอย่างผม เมื่อถึงฤดูร้อนแล้วก็ต้องนึกถึงของกินประจำฤดูกาลซึ่งมีอยู่สองอย่างที่นึกออกขึ้นมาทันทีทันใด หนึ่งคือข้าวแช่ และสองคือข้าวเหนียวมะม่วง

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (ฟังดูคล้ายนิทานไหมครับ) ในยุคสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้น ข้าวแช่ไม่ได้มีขายเกลื่อนกลาดทั่วไปอย่างทุกวันนี้ บ้านไหนจะกินข้าวแช่ก็ต้องทำกับข้าวแช่กินเอง ดังนั้น จึงไม่มีสูตรตายตัวว่าทุกบ้านต้องกินเหมือนกัน

แต่หลักๆ แล้วก็หนีไม่พ้นลูกกะปิ พริกหยวกยัดไส้ หอมยัดไส้ หมูฝอย ไชโป๊ผัดไข่ อะไรประมาณนี้

สิ่งที่จดจำได้ คือ การทำข้าวแช่กินเองนั้นเป็นการใหญ่ที่ต้องใช้เวลา แรงงานและฝีมือมิใช่น้อย

สมัยเมื่อผมยังอยู่บ้านร่วมกันกับพี่น้องเป็นครอบครัวใหญ่ โดยอาศัยอยู่ในบ้านของคุณยายที่มีสมาชิกรวมทั้งบ้านไม่น้อยกว่า 30 คน ในย่านซอยอารี ถนนพหลโยธิน การทำข้าวแช่จะมีบรรยากาศคล้ายการแข่งขันกีฬาสีเลยทีเดียว เพราะมีคนมากหน้าหลายตามาช่วยกันทำอาหารแต่ละอย่าง คนไหนสันทัดทำลูกกะปิก็โขลกก็ปั้นลูกกะปิไปอย่างเดียว ชาวพนักงานทอดก็ทอดไปสิ

สำหรับเด็กน้อยแล้วสิ่งที่สนุกมากคือการนั่งดูผู้ใหญ่ทำผักสำหรับกินกับข้าวแช่ ที่จำได้ติดตาคือท่านเอาแตงกวามาหนึ่งลูก แกะสลักให้กลายเป็นกระเช้า โดยควักไส้ในออกให้หมด เหลือส่วนที่เป็นกระเช้าไว้ครึ่งหนึ่งตอนล่าง แตงกวาครึ่งบนตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกจนเหลือเพียงหูหิ้วกระเช้า

ในกระเช้าแตงกวานี้ใส่ผักสีสันสวยงาม แน่นอนว่าจะขาดกระชายไปเสียไม่ได้ กระชายนั้นก็จักดอกให้คล้ายดอกจำปี ต้นหอมก็ใช้มีดกรีดให้มีทรวดทรงสวยงาม ถ้าจะให้มีสีสดสักหน่อยก็ต้องมีพริกชี้ฟ้าสีแดงลงไปอยู่ในกระเช้าด้วย

เป็นอันว่าครบสามสีทั้งแดง เขียวและเหลือง ทำให้นึกถึงไฟจราจรขึ้นมาเลยทีเดียว

มะม่วงหั่นเป็นชิ้นซึ่งไม่อยู่ในกระเช้าก็ต้องแกะสลักให้มีลวดลายต่างๆ

ของกินทั้งหมดนี้ใช้เวลาทำหลายชั่วโมง หรืออาจจะข้ามวันเสียด้วยซ้ำ แต่น่ามหัศจรรย์ใจมากที่พอถึงเวลากินแล้วทุกอย่างหายไปในเวลาเพียงแค่พริบตา ฮา!

 

ข้าวเหนียวสำหรับกินกับมะม่วงนั้น ถ้าไม่หุงหาเองในบ้านก็ไปซื้อเขามา ส่วนมะม่วงนั้นก็เหมือนกันคือเป็นมะม่วงบ้านเราเองหรือซื้อมะม่วงมาจากตลาด เวลานั้นมะม่วงพันธุ์ที่ผมชอบ คือ มะม่วงทองดำ สีของเนื้อมะม่วงจะออกส้มจัดสักหน่อย รสชาติก็เย็นๆ ไม่จี๊ดจ๊าด ถัดลงไปก็มะม่วงอกร่อง ซึ่งเป็นมะม่วงมาตรฐานมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ

มะม่วงน้ำดอกไม้ที่นิยมกินกันอยู่ทุกวันนี้ยังไม่ได้ผุดได้เกิดครับ

จนเวลาที่เขียนหนังสืออยู่นี้ภาพของข้าวเหนียวมูนสีขาวราดกะทิชุ่มฉ่ำวางเคียงกับมะม่วงทองดำสีสดยังติดค้างอยู่ในดวงตาเลย

ใครได้ข่าวว่ามะม่วงทองดำของผมไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ช่วยส่งข่าวบ้างนะครับ

 

กิจกรรมหน้าร้อน นอกจากกินข้าวแช่กับข้าวเหนียวมะม่วงแล้ว ถ้าเป็นคนที่มีกำลังสติปัญญาก็ต้องนึกถึงการไปตากอากาศริมทะเลเสียหน่อย

ยุคสมัยที่ผมเป็นเด็ก (อีกแล้ว) พัทยาเพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียงเพราะเป็นที่พักตากอากาศของทหารฝรั่งที่ไปสงครามเวียดนาม ตึกรามบ้านช่อง ร้านอาหารหรือโรงแรมยังมีไม่มากเท่าไหร่ สู้ทางฝั่งหัวหินไม่ได้ ทางโน้นเขาเป็นที่ตากอากาศมีชื่อเสียงมาตั้งแต่รัชกาลที่เจ็ดแล้ว ผู้ลากมากดีต่างมีบ้านพักตากอากาศริมทะเลหัวหินเรียงรายกันไปตลอด ถ้าไม่อยู่บ้านของเราเองก็ไปอยู่โรงแรมรถไฟซึ่งเป็นโรงแรมมาตรฐานสากลก็เก๋ไม่แพ้กัน

ถ้าสงสัยว่าอยู่หัวหินแล้วแต่ละวันทำอะไรกันบ้าง ก็ขอให้ไปถามคุณปริศนาในนวนิยายเรื่อง “ปริศนา” ของพระองค์หญิงวิภาวดีรังสิตก็แล้วกัน

ส่วนตัวผมเองแล้วไม่ค่อยได้ไปหัวหินหรอกครับ การเที่ยวทะเลที่คุ้นเคยของผมคือการไปเที่ยวสัตหีบ เพราะพ่อเป็นทหารเรือ เป็นนายทหารพระธรรมนูญ บางสมัยพ่อก็มีบ้านพักอยู่ที่สัตหีบนั้นเลยทีเดียวเพราะย้ายไปรับราชการที่นั่น ถ้าเป็นแบบนี้เราก็อยู่ที่บ้านของเราเอง ซึ่งอยู่บนเชิงเขาหลังโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์

บ้านพักข้าราชการหลังนั้นเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ใต้ถุนโล่ง ชานกว้าง หน้าบ้านมีซุ้มดอกเล็บมือนางให้ร่มเงาและกลิ่นหอมจรุงอยู่ตลอดทั้งวัน มองตรงออกไปหน้าบ้านเห็นทะเลสัตหีบสีครามสดใส ทั้งหมดนี้สวยเหมือนภาพโปสการ์ดเลยทีเดียว

เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพราะพูดขึ้นมาทีไรคนนึกว่าโม้ทุกทีสิน่า

 

ถ้าเป็นยุคสมัยที่พ่อไม่ได้มีบ้านพักข้าราชการอยู่ที่สัตหีบเพราะทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ พอถึงฤดูร้อน ครอบครัวของเราก็อาศัยสิทธิการเป็นข้าราชการทหารเรือของพ่อจองบ้านพักที่อ่าวดงตาล ซึ่งมีเรือนรับรองเป็นบังกะโลหลังเล็กอยู่ในราวสิบหลังให้คนทั้งหลายหมุนเวียนกันไปพักอาศัย

เวลากลางวันพ่อมักแวะไปหาเพื่อนข้าราชการคนโน้นคนนี้ ส่วนแม่ก็อยู่ที่บังกะโลเพื่อเขียนนวนิยายสำหรับส่งให้นิตยสารต่างๆ ตามอาชีพของแม่ซึ่งเป็นนักเขียน

ลูกสองคนคือผมและน้องชายจะทำอะไรได้นอกจากลงไปเล่นน้ำทะเลซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม

เราสองคนหายไปอยู่ที่ชายหาดและในทะเลแต่ละครั้งนานเป็นชั่วโมง

จนท้องหิวนั่นแหละจึงกลับมาที่พักเพื่อหาอะไรกิน

 

นอกจากไปสัตหีบเป็นอาจิณแล้ว ความหลังฝังใจที่พิเศษสุดอีกครั้งหนึ่งคือการไปเที่ยวทะเลที่ประจวบคีรีขันธ์ เป็นการเดินทางที่แปลกมากเพราะพ่อแม่ไม่ได้ไปด้วย แต่ผมและน้องชายไปกับคุณย่า ซึ่งท่านเป็นผู้บัญชาการให้ป้าของผมสองสามคนและหลานอีกจำนวนร่วมสิบคนเดินทางร่วมคณะไปกับท่าน

วิธีเดินทางก็ไปด้วยรถไฟจากสถานีกรุงเทพฯ หรือสถานีหัวลำโพง ตรงไปสถานีประจวบคีรีขันธ์เลยทีเดียว

เมืองประจวบฯ เวลานั้นไม่มีโรงแรม หรือมีแต่เราไม่เข้าพักผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเราไปอยู่บ้านพักรับรองของกรมทางหลวงซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล ในความทรงจำของผม บ้านนั้นเป็นเรือนหลังใหญ่หลังหนึ่งกับเรือนหลังย่อมอีกหลังหนึ่ง เนื่องจากสมาชิกของเรามีมากจึงต้องแบ่งอยู่ตามห้องต่างๆ ในเรือนทั้งสองหลัง แต่เวลากินข้าวไปกินรวมกันพร้อมกับคุณย่า

ตามความทรงจำอันกระท่อนกระแท่นที่เหลืออยู่ในวัย 68 ปี เมืองประจวบคีรีขันธ์ของผมมีความสนุกในเวลาบ่ายของทุกวันเพราะลูกพี่ลูกน้องของผมซึ่งเป็นผู้มีอายุสูงสุดและเวลานั้นดูเหมือนกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่จุฬาฯ จะเป็นผู้นำน้องๆ เดินเท้าจากบ้านพักไปขึ้นเขาช่องกระจก ขึ้นแล้วก็ลง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

แต่แค่นี้ก็สนุกสุดใจแล้ว เพราะเดินคุยกันไปเล่นกันไปกับลูกพี่ลูกน้องจำนวนมาก

เริ่มออกเดินในราวบ่ายสามโมงให้แดดอ่อนลงบ้างแล้ว บ่ายห้าโมงก็กลับถึงบ้าน อีกประเดี๋ยวเดียวก็ได้กินข้าวเย็นแล้ว

ความทรงจำของผมที่หลงเหลือสำหรับประจวบคีรีขันธ์อีกอย่างหนึ่ง คือตลาดเช้า เพราะเป็นเวลาที่อากาศแสนสดชื่น จากบ้านพักของกรมทางหลวงเดินไปตลาดก็ใกล้นิดเดียว ตลาดเช้าเมืองประจวบฯ ช่างคึกคักและมีสีสันเสียนี่กระไร

ที่ตลาดมีของขายนานาสารพัน ที่อร่อยจนพิมพ์ใจมาจนถึงทุกวันนี้คือข้าวเหนียวสังขยาซึ่งผมซื้อกินทุกวัน แต่ถ้าจะให้อธิบายว่าอะไรอย่างไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว

 

หน้าร้อนในวัยเด็กของผมผ่านไปด้วยอารมณ์และบรรยากาศอย่างนี้แหละครับ ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวทะเลและไม่มีข้าวแช่ซึ่งต้องถือว่าเป็นของกินพิเศษประจำฤดูกาล ผมก็กินข้าวกินอาหารตามปกติ แล้วก็นั่งๆ นอนๆ อยู่ในบ้านของตัวเอง ทีวีสมัยนั้นซึ่งมีเพียงแค่สองช่องก็มีรายการภาคกลางวันเพื่อเอาใจเด็กที่ปิดเทอม

ขอบอกว่าแบตแมนหรือมนุษย์ค้างคาวสนุกมากครับ

ถ้าไม่ดูทีวีก็ฟังละครวิทยุ ไม่อยากจะสารภาพเลยว่าผมติดละครเรื่อง “เงา” งอมแงม จนคุ้นเคยกับท่านชายวสวัตเลยทีเดียว

 

เป็นอย่างไรบ้างครับ ฟังคนแก่บ่นพึมพำมาจนถึงตรงนี้

ได้เล่าอะไรเสียหน่อยค่อยคลายร้อนลงบ้าง

ผมบอกกับตัวเองว่าอดีตก็คืออดีต ผมจะไปฉุดรั้งให้เหมือนเดิมต่อไปคงไม่ได้ สัตหีบก็ดี หัวหินก็ดี ไม่เหมือนเก่าอีกแล้ว ข้าวแช่ที่ทำกินกันเองในบ้านสำหรับคนสามสิบคนก็ไม่มีอีกต่อไป

แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างสาบสูญนะครับ

สัตหีบก็ยังอยู่ หัวหินก็ยังอยู่ เพียงแต่ไม่เหมือนเดิมและต้องก้าวเดินต่อไปในโลกปัจจุบันและวันข้างหน้า

ข้าวแช่ก็มีขายเยอะแยะ ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งทำเองอีกต่อไป

นี่แปลว่าไม่มีอะไรหยุดอยู่กับที่ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินไปข้างหน้าอย่างไรต่างหาก บ้านเมืองของเราก็หนีไม่พ้นจากความจริงนี้ไปได้

พบกันที่คูหาเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมนี้นะครับ

ว่าแต่ว่าใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว ไปกินข้าวแช่ร้านไหนดีน้อ