ศรีรามกฤษณะ ปรมหงส์ : พระเจ้านั่นหรือก็คือแม่! (จบ)

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

นเรนทรนาถ ทัตตะ (Nerandranath Dutta) หรือนเรนทร์ ชายหนุ่มอายุสิบแปดปีผู้มีการศึกษาดี ดูเหมือนวัยหนุ่มแน่นกับความขบถเป็นมิตรใกล้ชิดกัน นเรนทร์เปี่ยมไปด้วยตรรกะเหตุผล ขบถ ท้าทายความคิดของยุคสมัยก่อนหน้า นิยามตนเป็นอเทวนิยมผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่ขณะเดียวกันก็แสวงหาผู้ที่จะพิสูจน์ให้ตนเชื่อได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ซึ่งยังไม่พบ

ราวเดือนพฤศจิกายน ปี 1881 นเรนทรนาถไปยังบ้านของสุเรนทรนาถ มิตระ เพื่อนบ้านใกล้เคียง ที่ซึ่งเขาได้พบกับศรีรามกฤษณะปรมหงส์เป็นหนแรก ด้วยความพยายามของญาติคนหนึ่งที่อยากให้นเรนทร์ได้พบ “คนที่เห็นพระเจ้า” เสียที

ในเวลานั้นศรีรามกฤษณะเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะคุรุแล้ว ท่านขอให้นเรนทร์ร้องเพลงให้ฟัง ศรีรามกฤษณะประทับใจมากและเอ่ยปากชวนเขาให้ไปพบที่เทวาลัยทักษิเณศวร

การพบกันครั้งแรกมิได้สร้างความประทับใจอะไรแก่นเรนทร์นัก คุรุที่คนร่ำลือกันดูเป็นคนธรรมดาและออกจะแปลกๆ ด้วยซ้ำ ส่วนคำพูดก็มิได้มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ

 

เมื่อวันนัดหมายมาถึง นเรนทร์ก้าวเข้าไปในกระท่อมของศรีรามกฤษณะ ท่านปิดประตูแล้วนั่งลง ในห้องนั้นมีเพียงสองคนลำพัง นเรนทร์คิดว่าท่านคงจะให้คำสอนที่สำคัญเป็นส่วนตัวบางอย่าง แต่ทันใดนั้นรามกฤษณะก็เริ่มร้องไห้

นเรนทร์ผู้จะกลายเป็นศิษย์เอกในอนาคตบันทึกไว้ว่า

“ฉันค่อนข้างประหลาดใจเป็นที่สุด เมื่อท่านหลั่งน้ำตาแห่งปีติออกมาอย่างมากมายขณะที่ท่านคว้าสายคล้องไหล่ฉันไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลดุจกล่าวกับผู้คุ้นเคยว่า “เธอมาช้าเหลือเกิน เธอช่างใจร้ายปล่อยให้ฉันรอคอยยาวนานขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? หูของฉันหม่นไหม้เพราะฟังแต่คำหยาบคายของผู้คนโลกย์ๆ ฉันปรารถนาที่จะปลดเปลื้องภาระแห่งใจแก่ใครสักคน ผู้ซาบซึ้งในประสบการณ์อันลึกซึ้งที่สุดของฉัน””

นเรนทร์คิดว่าท่านคงจะบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่ทันใดนั้นสวามีรามกฤษณะก็ไปนำขนมและของหวานต่างๆ มาป้อนให้เขาด้วยความรัก ในใจของนเรนทร์เริ่มสงสัยว่าชายคนนี้จะสามารถเป็นคุรุที่ยิ่งใหญ่ได้จริงๆ หรือ แล้วจึงเอ่ยคำถามที่เขามักโยนใส่บรรดาคุรุต่างๆ ออกไปว่า “ท่านเห็นพระเจ้าจริงๆ ใช่ไหม?”

ศรีรามกฤษณะตอบทันทีว่า “ฉันเห็นท่านเหมือนที่เห็นเธอในตอนนี้ ในแง่ที่จริงจังมากๆ”

นเรนทร์ถามต่อ “พระเจ้าสามารถเข้าถึงได้จริงๆ หรือ?” ท่านตอบว่า “ทุกคนสามารถเห็นและคุยกับพระองค์เหมือนที่ฉันกำลังทำกับเธอที่นี่ ทว่า ใครเล่าจะสนใจที่จะกระทำอะไรแบบนี้ ผู้คนพากันหลั่งน้ำตาให้กับลูกเมีย ให้แก่ทรัพย์สมบัติของพวกเขา แต่ใครจะทำเช่นนั้นกับพระเจ้า? หากใครสามารถที่จะหลั่งน้ำตาให้กับพระองค์ได้อย่างจริงใจ พระองค์จะต้องปรากฏแก่เขาอย่างแน่นอน”

แม้ประทับใจในคำตอบ นเรนทร์ยังคงไม่เชื่อและคิดว่าคำพูดสวยหรูของท่านขัดกับพฤติกรรมแปลกๆ และยังคิดว่า ท่านอาจเป็นแค่คนบ้าคนหนึ่ง

 

ในการพบกันครั้งที่สองซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตของนเรนทร์ไปโดยสิ้นเชิง นเรนทร์นั่งอยู่ใกล้ๆ ศรีรามกฤษณะในห้องของท่าน และเริ่มต้นถามว่า “ท่านสามารถพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่ได้ไหม?” รามกฤษณะตอบ “ฉันนี่แหละคือข้อพิสูจน์” เมื่อได้ฟังดังนั้น นเรนทร์ขอให้ท่านพิสูจน์แก่ตนบ้าง

ทันใดนั้น ศรีรามกฤษณะยื่นเท้าขวาของท่านไปแตะที่หน้าอกของนเรนทร์แล้วเข้าสมาธิ เขาตกอยู่ในภวังค์ทันที สรรพสิ่งที่อยู่รายรอบหายไป โลกหายไปจากการรับรู้! นเรนทร์ตะโกนร้องด้วยความกลัวว่า “ท่านทำอะไรกับผม! ผมมีพ่อมีแม่ มีน้องสาวรออยู่ที่บ้านนะ!” รามกฤษณะหัวเราะแล้วยกเท้าออก ทุกสิ่งก็กลับเป็นปกติดังเดิม

สภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในการพบกันครั้งที่สาม ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินอยู่ในสวนสวย รามกฤษณะยื่นมือไปแตะตัวนเรนทร์และเขาเกิดประสบการณ์แบบเดิมอีก แม้ในใจจะคิดว่าตัวเองอาจถูกสะกดจิต แต่สภาวะที่ประสบนี้ทำให้เขาไม่อาจนำความคิดเชิงตรรกะเหตุผลที่ตนมีมาอธิบายได้

ความสับสนนำให้นเรนทร์แวะเวียนมาหารามกฤษณะอยู่บ่อยครั้ง จนในที่สุดก็ละทิ้งทางโลกมาเป็นศิษย์ของรามกฤษณะอย่างเต็มตัว

 

สิ่งที่น่าสนใจในความสัมพันธ์ของครู – ศิษย์คู่นี้คือรามกฤษณะเห็นว่า โดยแท้จริงนเรนทร์เป็นอวตารของพระเจ้า ถึงกับพูดกับเขาว่า พระแม่แห่งสกลจักรวาลได้บอกกับท่านเองว่า นเรนทร์คือ “นร” หรือองค์พระนารายณ์เอง และท่านก็เห็นสิ่งนี้ในตัวเขา ท่านจึงมีความรักที่ลึกซึ้งต่อเขาอย่างที่สุด

ในขณะเดียวกันนเรนทร์ก็มิใช่คนที่จะยอมรับใครเป็นครูได้ง่ายๆ แม้แต่คุรุที่มีชื่อเสียงอย่างศรีรามกฤษณะ เขาไม่แยแสต่อศรัทธามืดบอดที่ผู้คนมักเชื่อตามๆ กันแบบมงคลตื่นข่าวว่า ใครศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์

นเรนทร์จึงทดสอบศรีรามกฤษณะครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งด้วยคำถามตรงไปตรงมา ทั้งการทดสอบในแบบอื่นๆ แม้เมื่อยอมรับในตัวคุรุแล้ว แต่จิตคิดสงสัยของเขาก็ไม่ได้หายไปไหน

แม้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตรามกฤษณะ นเรนทร์ยังรำพึงในใจว่า แม้เขาจะเคารพรักครูอย่างที่สุด แต่ครูของเขาเป็นอวตารของพระเจ้าจริงไหม ราวกับรู้ถึงความนึกคิดนี้ได้ ศรีรามกฤษณะตอบอย่างแผ่วเบาว่า ท่านเป็นทั้ง “พระราม” และ “พระกฤษณะ” ตามชื่อ “รามกฤษณะ” นั่นเอง

เราพึงเข้าใจว่า ในหลายระบบความเชื่อของอินเดีย มนุษย์กับสภาวะสูงสุด ซึ่งไม่ว่าจะเรียกด้วยคำใดก็ไม่ได้แยกออกจากกัน กระนั้นแม้แต่พวกภักติเองก็มีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้

ฉะนั้น การถือว่าคุรุเป็นพระเจ้า (Godman) ดูจะเป็นเรื่องปกติในทางวัฒนธรรม ซึ่งนำมาทั้งการฉ้อฉลหลอกลวงหรือนำศิษย์ไปสู่สภาวะแห่งความรู้แจ้งก็ได้

 

เมื่อรามกฤษณะจากโลกนี้ไปแล้ว นเรนทร์ผู้กลายเป็น “สวามีวิเวกานันทะ” (Swami Vivekananda) ได้เป็นผู้สืบต่อทางจิตวิญญาณ เป็นหัวหน้าของสังฆะ ผู้กล่าวถึงครูของตนด้วยความรักและซาบซึ้งใจว่า

“หากมีสักคำของฉันที่เป็นความจริง สิ่งนั้นย่อมมาจากท่านและจากท่านเท่านั้น ส่วนคำกล่าวที่ผิดพลาดหรือคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องทั้งปวง คำกล่าวที่ไม่ก่อประโยชน์แก่มนุษยชาติย่อมเป็นความรับผิดชอบของฉันเอง”

แม้รามกฤษณะจะมีศิษย์อีกจำนวนมาก แต่สวามีวิเวกานันทะนั้นโดดเด่นที่สุด ท่านได้ก่อตั้งนิกายรามกฤษณะ (Ramakrishna Order) และองค์กรพันธกิจรามกฤษณะ (Ramakrishna Mission) ที่พยายามจะนำวิถีทางจิตวิญญานและการรับใช้ผู้คนมารวมกัน

ชีวิตของนักบุญท่านนี้มีแง่มุมที่แปลกประหลาดและชวนฉงนสงสัยอีกมาก ทว่า ไม่ได้สำคัญเท่ากับคำสอนที่ส่งผ่านมายังยุคสมัยของเราคือ พึงปฏิบัติ “เพื่อความหลุดพ้นแห่งตนและเพื่อหิตประโยชน์ของโลก”

คำสอนของศรีรามกฤษณะมักปรากฏในรูปบทสนทนาและนิทานอุปมาอุปมัย ซึ่งได้รับการบันทึกในชื่อ “ศรี ศรีรามกฤษณะ กถามฤต” โดยมเหนทรนาถ คุปตะในภาษาพังคลี หนังสือนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยสวามีนิขิลานันทะในชื่อ “The Gospel of Sri Ramakrishna”

ศรีรามกฤษณะไม่ใช่ปราชญ์ ไม่ใช่นักปรัชญา ท่านเน้นประสบการณ์ตรง และการถ่ายทอดประสบการณ์นั้นแก่ศิษย์ ประสบการณ์ของท่านมักถูกเปรียบเทียบว่าเป็นประสบการณ์เดียวกันกับที่สอนในปรัชญาเวทานตะ

ปี 1885 ศรีรามกฤษณะ ปรมหงส์จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งที่คอ ว่ากันว่าคำสุดท้ายที่ท่านเปล่งออกมาก่อนจะสิ้นใจคือ “มา” อันแปลว่า “แม่”

ท่านเรียกพระเจ้าสูงสุดว่า “แม่” หรือ “แม่กาลี” แต่พึงเข้าใจว่า คำนี้มิได้เพียงบ่งถึงเทพีบางองค์ซึ่งมีความหมายจำเพาะแก่นิกายใดหรือกลุ่มชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม่หรือแม่กาลีของท่านคือพระเจ้าสูงสุดที่ปรากฏแก่ท่านดุจมารดา เช่นเดียวกับที่ปรากฏเป็นพระเจ้าในรูปและนามอื่นๆ ดังที่ท่านกล่าวว่า

“พระแม่ปรากฏแก่ฉันในวัดเทวีกาลี ซึ่งพระองค์ได้กลายเป็นทุกสรรพสิ่ง พระองค์แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกรู้ (Consciousness – ซึ่งบ่งถึงสภาวะแห่งพระเจ้า) เทวรูปก็คือจิตสำนึกรู้ แท่นบูชาคือจิตสำนึกรู้ ภาชนะใส่น้ำก็คือจิตสำนึกรู้ ขอบประตูก็คือจิตสำนึกรู้ พื้นหินอ่อนก็คือจิตสำนึกรู้ ทุกสิ่งคือจิตสำนึกรู้

…ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงให้อาหารแมวด้วยอาหารเดียวกับที่ถวายแด่พระแม่

ฉันรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพระแม่คือทุกสิ่ง

ไม่เว้นแม้แต่แมวตัวนั้น” •

 

 

ผี พราหมณ์ พุทธ | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง