กาละแมร์ พัชรศรี : หนังสือสอนคนเขียน

วงจรชีวิตนักเขียนที่มีผลงานออกมา 24 เล่ม ฉันรู้ว่าฉันต้องทำอะไรและต้องเผชิญกับอะไร

หลังจากผลิตผลงานออกมาเป็นรูปเล่มให้สวยดั่งใจแล้ว หลังจากนั้นฉันต้องเดินสายประชาสัมพันธ์ แจกลายเซ็น พบปะพูดคุยกับมิตรรักนักอ่าน

มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันชื่นชอบ เพราะฉันจะได้เห็นว่าใครคือคนอ่านหนังสือของเรา และเขาคิดและรู้สึกอย่างไรกับงานที่ผ่านๆ มา

นอกจากนี้ ฉันต้องไปตามรายการทีวี สถานีวิทยุ หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ พูดตามงานต่างๆ

ฉันก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำอะไรกันแบบนี้หรือเปล่า แต่นี่คือวิถีของฉัน และคราวนี้ออกหนังสือไม่ได้อยู่ในช่วงงานสัปดาห์หรือมหกรรมหนังสือ จึงต้องเดินสายเซ็นตามร้านหนังสือมากขึ้น

ตลอด 7 วันทำอย่างนี้วนไปหลายสัปดาห์ ยังไม่นับงานที่ทำอยู่เป็นประจำคืองานพิธีกร

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันต้องเหนื่อยมากและบางครั้งก็ไม่มีความสุข แถมพาลไปโกรธเลขาฯ ที่จัดตารางให้แน่นเอี้ยดขนาดนี้

แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไป เมื่อจิตใจและความคิดเราเปลี่ยน ทั้งๆ ที่ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหนักขึ้นด้วยซ้ำ!!

 

ฉันคิดเสมอว่าทุกครั้งที่ฉันไปพูดเรื่องหนังสือที่อยากให้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ฉันอยากบอกเขาด้วยความตั้งใจที่ฉันมี ให้พลังใจ ให้กำลังใจเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้มันจะยาก ไม่คุ้นชิน แต่ถ้าทำแล้วมันดีกับชีวิต เราก็ต้องยอมขัดใจและความสบายของตัวเองบ้าง และเมื่อทำได้ผลลัพธ์ของมันคุ้มค่าเหลือเกิน

ไม่ว่าฉันต้องพูดเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ฉันไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลย แม้คนฟังจะมีเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าแม้เพียงประโยคเดียวที่เขาฟัง แล้วเขานำกลับไปคิด และลงมือเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น ฉันนับว่าฉันคุ้มค่ากับการได้เกิดมาแล้ว เพราะอย่างน้อยเราได้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น

ครั้งนี้เปิดให้คนได้สั่งทางออนไลน์ได้ ฉันจึงต้องเซ็นหนังสือทุกเล่มที่สั่ง เพื่อส่งไปรษณีย์ไปให้เขา การเซ็นหนังสือเป็นพันๆ เล่ม ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันจะต้องตายให้ได้ ถอนหายใจคล้ายจะสิ้นลม

และที่สำคัญคือฉันต้องปวดร้าวมือ แขน ไหล่ หลังยันลงไปที่ขา

แต่ครั้งนี้มันไม่เกิดอาการใดๆ ขึ้นเลย ฉันก็ประหลาดใจ ตัวเองเหมือนกัน

 

อาจเป็นเพราะฉันไม่ได้คิดลบ คิดเหนื่อย ต่อสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ เพราะฉันใส่ความรู้สึกลงไปในลายเซ็นทุกเล่มว่าให้คนอ่าน อ่านให้สนุก มีความสุข เอาไปใช้ได้จริงๆ และที่สำคัญคือ ใส่ความรู้สึก “ขอบคุณ” ทุกครั้งที่ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้

และฉันก็ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร ยังมีแรงพลังในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เหลือเวลาไว้นั่งสมาธิ และเบิกบานทุกครั้งเมื่อเจอผู้คน ไม่หน้าหงิก หน้างอ หรือก้มหน้ามองพื้นเหมือนเมื่อก่อน แถมไปแอบถอนหายใจในห้องน้ำเพราะหมดพลังอยู่บ่อยๆ

เมื่อแก้ไขความคิด แก้ไขจิตใจ อะไรๆ ก็ดีขึ้น ทุกคนรอบตัวยังเหมือนเดิม แต่เราจะเห็นเขาในมุมมองที่เปลี่ยนไป เขาก็แฮปปี้ เราก็มีความสุข มันวินวินทั้งสองฝ่าย

แฟนที่มาขอลายเซ็น ถ่ายรูป ซื้อหนังสือ มาจากหลากหลายที่มาก บางคนขับรถมาจากแม่สายเพื่อมาหาที่ตัวเมืองเชียงราย

บางคนมาจากกระบี่เพื่อมาหาที่กรุงเทพฯ

บางคนโดดประชุมมาเพื่อขอลายเซ็น

บางคนออกจากคลาสโยคะแบบเหงื่อซ่กๆ ก็บึ่งรถมาหา และเด็กนักเรียนที่เพิ่งเลิกเรียนก็พุ่งตัวมาในทันที

หลายคนนอกจากถ่ายรูป ขอลายเซ็นแล้ว จะขออ้อมกอดให้ส่งพลังบวกให้ ฉันก็ยินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง ถ้ากอดครั้งนี้จะทำให้เขาไปต่อได้อย่างดี

 

มีการเซ็นวันหนึ่งที่เราได้มีโอกาสนั่งคุยกับผู้อ่านแบบยาวๆ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถามตอบอย่างกันเอง เหมือนล้อมวงคุยกันในบ้าน

มีทั้งถามเรื่องอาหารการกิน บางคนบอกไปทำตามแล้วน้ำหนักลดลงไปมาก จะมุ่งมั่นทำต่อไป มาขอบคุณใหญ่ เราก็ดีใจไปกับเขาด้วย

แล้วก็จู่ๆ มีน้องคนหนึ่งใส่ชุดสีเดียวกับปกหนังสือ ลงนั่งแล้วพูดแบบพรั่งพรูบอก ขอบคุณที่ทำไลฟ์ทางเฟซบุ๊กขึ้นมา เธอสัมผัสได้ถึงความปรารถนาของฉันที่ส่งผ่านไปถึงคนดูว่าอยากให้ทุกคนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

เธอบอกว่า ฉันไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้ ฉันมีชีวิตดีแล้วก็ดีไป แต่ไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยนั่งบอกใครๆ แบบนี้ เธอจึงขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ ให้กับตัวเอง

ชีวิตคนเรามีเป้าหมายที่แตกต่างกัน มีความสุขกันคนละแบบ แต่สำหรับฉันทำชีวิตตัวเองให้ดีในทุกๆ ด้านและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นให้มากที่สุด

เพราะรักและแคร์จึงอยากให้แกมีชีวิดตี…แคร์เช่นมิตรค่ะ