มาอีกแล้ว วาทกรรมอันตราย ชนวน ‘ความรุนแรง’

เหยี่ยวถลาลม

 

มาอีกแล้ว

วาทกรรมอันตราย

ชนวน ‘ความรุนแรง’

 

โลกตะวันตกล่วงหน้าไปก่อนไทยนานนัก เมื่อ 500-1,000 ปีก่อน รัฐในซีกโลกตะวันตก กำจัด “คนเห็นต่าง” อย่างโหดร้าย ทารุณ ถึงขั้นจับขังเดี่ยวคุกมืด และเผาทั้งเป็น

กว่าจะมีเสรีภาพ สังคมตะวันตกก็ผ่านประสบการณ์เลวร้ายมาอย่างสาหัส ตามที่ได้ร่ำเรียนกันมา เช่น ศาลลูกขุนเอเธนส์สั่งประหารชีวิต “โสเครติส” เพียงเพราะหวั่นว่า จะชักจูงเยาวชนและผู้คนให้รู้จัก “สงสัย” กับ “ตั้งคำถาม”

กล่าวสำหรับสังคมไทยก็นับเป็นเรื่องแปลกที่ผู้นำหรือชนชั้นนำทั้งหลายซึ่งเป็น “พุทธศาสนิกชน” แต่กลับคับแคบ ไม่ส่งเสริมให้เจริญทางปัญญากันด้วย “หลักกาลามสูตร”

จริงหรือไม่ว่า “เสรีภาพทางความคิด” น่าจะงอกงามในแผ่นดินไทยเป็นที่สุด

แต่วันนี้ยังมีเรื่องที่ชวนให้หดหู่ใจ!

มีผู้นำทางการเมืองบางคนประกาศว่า “ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะจัดการพวกชังชาติ ล้มสถาบันอย่างเด็ดขาด”

ทำไมไม่สนใจ “บทเรียน” จากอดีต

ความสุดโต่งและใช้วาทกรรมสร้างความเกลียดชัง นำพาประเทศไทยสู่หายนะมาแล้วกี่ครั้ง!

 

นักรบกล้าแห่งตาพระยา อดีตนายทหาร จปร.7 ผู้ล่วงลับท่านหนึ่งเคยปรารภให้ฟังว่า “พี่เป็นทหารบ้านนอก รบกับอริราชศัตรูผู้รุกล้ำเพื่อปกป้องดินแดนไทย เมื่อได้รับข้อมูลว่าพวกญวนยึดธรรมศาสตร์และได้รับคำสั่งให้เคลื่อนกำลังก็ต้องมาในทันที ไม่รู้จริงๆ ว่า นั่นคือวันล้อมฆ่าผู้ชุมนุมในธรรมศาสตร์”

จนถึงวันนี้ แม้เวลาจะล่วงผ่านไป 47 ปี แต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ “ไม่เข้าใจ” ว่า แค่ประท้วงการกลับมาของ “ถนอม กิตติขจร” จอมเผด็จการอดีตทรราชที่เคยถูกประชาชนขับไล่ออกนอกนอกประเทศ “ทำไมต้องฆ่า”!!

การล้อมปราบสังหารหมู่ผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ควรจะเป็น “บทเรียน”

งานวิจัยของ “ธงชัย วินิจจะกูล” ซึ่งตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “6 ตุลา ลืมไม่ได้ จำไม่ลง” เล่าไว้ในตอนหนึ่งว่า

05.30 น.ระเบิดถูกยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตทันที 4 คน บาดเจ็บจำนวนมาก ระเบิดลูกนี้เป็นสัญญาณเริ่มต้นการระดมยิงของ “ทหาร” อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเวลา 09.00 น.

ยังไม่พอ…

จรวดต่อสู้รถถังถูกยิงเข้าใส่ตึกคณะบัญชี จากนั้นกองกำลังที่ปิดล้อมมหาวิทยาลัยก็บุกเข้ามาในรั้วแล้วพวกเขาก็ลากนักศึกษาบางคนออกไป การรุมประชาทัณฑ์เริ่มต้นขึ้น

นักศึกษา 2 คนถูกทรมาน แขวนคอและทุบตีแม้เสียชีวิตแล้วที่ใต้ต้นไม้รอบสนามหลวง นักศึกษาหญิงคนหนึ่งถูกไล่ล่าจนล้มลงกับพื้น ถูกทารุณกรรมทางเพศ และทรมานจนเสียชีวิต

 

นี่ไม่ใช่การฉายภาพเพื่อฟื้นฝอย

แต่ต้องตอกย้ำทุกบทเรียนที่เลวร้ายเพื่อไม่ให้ก้าวซ้ำในรอยเดิม!

คำถามคือ มีอะไรเกิดขึ้นก่อนการสังหารหมู่นักศึกษาประชาชนในวันที่ 6 ตุลาคม 2519

งานวิจัยของ “ธงชัย” ยังได้ระบุว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมด่วนวาระพิเศษ จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อสลายผู้ชุมนุมทุกฝ่าย อาทิ ผู้ชุมนุมต่อต้านการกลับมาของจอมพลถนอม การชุมนุมของกลุ่มฝ่ายขวา นวพล กระทิงแดง ที่อยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับลูกเสือชาวบ้านซึ่งชุมนุมอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า

แต่ปรากฏว่ามีรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลคัดค้าน พร้อมกับนำตัว พล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน รอง ผบช.ตชด. ผู้จัดตั้งลูกเสือชาวบ้านเข้าไปกล่าว “วาทะเด็ด” ต่อที่ประชุมแห่งนั้นว่า

“นี่เป็นโอกาสที่จะปราบปรามนักศึกษาและลบชื่อศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยให้หายไปจากประเทศไทย”

เรื่องต่างๆ ที่ได้ยินมาก่อนหน้า ล้วนคือ “วาทกรรม” – คลังแสงในอุโมงค์ธรรมศาสตร์ ญวนยึดธรรมศาสตร์ ทั้งหมดประกอบสร้างขึ้นอย่างสอดประสานกับการปลุกระดมของสถานีวิทยุทหารที่กระหน่ำด้วยเพลง “หนักแผ่นดิน” โหมไฟความเกลียดชังด้วยการกล่าวหาผู้ชุมนุมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นคอมมิวนิสต์ มุ่งทำลายศาสนา ล้มสถาบัน

ในขณะที่ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย พระกิตติวุฑโฒ ก็ออกมาชี้นำว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”!

“6 ตุลาคม 2519” จึงเป็นที่สุดของความเลวร้ายแห่งการทำลายล้าง

 

ความรุนแรงทั้งหลายที่ก่อขึ้นโดยรัฐย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ!

สังคมไทยไม่มี “ความแข็งแรง” เพียงพอที่จะรับมือกับความคิดที่แตกต่าง

“รัฐประหาร” คือประจักษ์หลักฐาน

ในสังคมประชาธิปไตยจะต้องมี “ความแตกต่างทางความคิด” ในประเทศเสรีนิยมจะต้องมีพื้นที่ยืนให้ทุกอุดมการณ์ทางการเมืองโดยใช้ “รัฐสภา” เป็นเวที ไม่ใช่ “ปืน”

แต่ในไทยมี “รัฐประหาร” บ่อยมาก เฉลี่ยแล้วเกิดขึ้นทุก 6.5 ปี

มีสูตรสำเร็จด้วยว่า ก่อนมีรัฐประหารทุกครั้งจะต้องมีการปั้นหรือประดิษฐ์ “วาทกรรม” สารพัดขึ้นมาเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม เช่น ทุจริตคอร์รัปชั่น มีคนยุยงปลุกปั่นจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองโดยอาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มีการแบ่งขั้วเกิดความขัดแย้ง ไม่สงบ วุ่นวาย รวมความว่า จะต้องใช้กำลังทหารและอาวุธเข้าประทุษร้ายบังคับขู่เข็ญแย่งชิงอำนาจรัฐ ฉีกรัฐธรรมนูญ ล้มรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ สถาปนาเป็น “รัฏฐาธิปัตย์”

รัฐประหารคือภาพสะท้อนของความไม่มีอารยธรรมในการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองด้วยสติปัญญาและสันติวิธี

ปลูกฝังสั่งสอนกันแต่เพียงว่า ใหญ่กว่าต้องมาก่อน เกิดก่อนแก่กว่าพูดย่อมถูกต้อง ถ้าไม่ถูกใจก็ให้ยอมๆ ไป

หากแตกต่างมากไปกว่านี้ ก็ถือเป็น “คนละขั้ว” ใครรับไม่ได้ก็ให้ทน หรือถ้าไม่ไหวก็ให้ไปอยู่ประเทศอื่น

อืมส์…สุดโต่งจนลืมไปสนิทว่า อยู่ในโหมดเลือกตั้ง ด้วยศักดิ์ศรีแห่งเสรีชน ทุกคนต่างมี 1 สิทธิ 1 เสียง!?!!