ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 เมษายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
ชื่อ ‘ร้อยเอ็ด’ ไม่ได้มาจากเมืองมี 11 ประตู
แต่แสดงความเป็น ‘จักรพรรดิราช’ ของผู้ครองเมืองร้อยเอ็ด
ในคำขวัญประจำจังหวัดร้อยเอ็ด มีประโยคขึ้นต้นด้วยข้อความที่ว่า “สิบเอ็ดประตูเมืองงาม” โดยมีนัยยะว่า ชื่อจังหวัด “ร้อยเอ็ด” หมายถึงจำนวน “สิบเอ็ด” ซึ่งหมายถึงจำนวนของ “ประตูเมือง” ที่มีมาแต่โบราณ
ส่วนที่อยู่ๆ คำว่า “ร้อยเอ็ด” กลายมาเป็น “สิบเอ็ด” ได้นั้น เกิดจากที่อดีตประธานรัฐสภา ควบตำแหน่งอดีตประธานวุฒิสภา และ ส.ส.จังหวัดขอนแก่น 5 สมัยอย่างคุณจารุบุตร เรืองสุวรรณ (พ.ศ.2463-2527) ได้เคยหล่นทัศนะเอาไว้ในบทความของท่านที่ชื่อ “ประวัติบางเรื่องเกี่ยวกับอีสาน” ที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือรวมบทความที่ชื่อ “อีสานคดี” อันเป็นหนังสือที่คณะอาจารย์จากคณะโบราณคดี ตีพิมพ์เพื่อเป็นที่ระลึกในงานการละเล่นพื้นบ้านอีสาน ณ โรงละครแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2521 ดังมีข้อความว่า
“การเขียนและการอ่านภาษาอีสานโบราณนั้น สิบเอ็ดต้องเขียน 10 เสียก่อนแล้วจึงจะเขียนเลข 1 ต่อท้าย เมื่อครั้งที่กรุงธนบุรีโปรดเกล้าให้ตั้งชื่อเมืองคงจะอ่านตามภาษาเขียนของทางภาคกลางจึงเพี้ยนไปเป็น 101 อ่านว่าร้อยเอ็ดคนภาคกลางมักจะเข้าใจภาษาทางภาคอีสานคลาดเคลื่อนบ่อยๆ”
และในบทความชิ้นเดียวกันนี้ คุณจารุบุตรยังเขียนย้ำไว้ด้วยว่า “นครสาเกตุ หรือ 101 ประตู (สิบเอ็ดประตู) อยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน”
ดังนั้น นี่จึงเป็นที่มาให้มีคนนำข้อมูลชุดนี้ไปขยายผล จนกลายเป็นที่มาของประโยคท่อนดังกล่าวในคำขวัญประจำจังหวัดร้อยเอ็ด รวมถึงการนำข้อมูลชุดนี้ไปเรียน ไปสอนกันอยู่ในโรงเรียนต่างๆ ภายในจังหวัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อปี พ.ศ.2537 ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบราณคดี ของกรมศิลปากรอย่าง อ.พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ได้เคยตรวจสอบเอกสารต้นฉบับในหอสมุดแห่งชาติแล้วเขียนเป็นบทความลงนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม มีใจความโดยสรุปว่า ชื่อเมือง “ร้อยเอ็ด” เขียนด้วยตัวอักษร ไม่ใช่ตัวเลข
ดังนั้น คนโบราณท่านจึงเปรียบเปรยเมืองแห่งนี้ไว้ว่า มีความยิ่งใหญ่ขนาดที่มีประตูเมืองถึง 101 ประตู ไม่ใช่ด้อยค่าว่ามีเพียง 11 ประตู
แถมเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด ในกำกับของกรมศิลปากรก็เคยจัดแสดงนิทรรศการ โดยนำเอาสมุดข่อย ที่ถูกจารด้วยอักษรธรรมว่า “เมืองร้อยเอ็ดประตู” เป็นตัวอักษร ไม่ใช่ตัวเลข เพื่อเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ดได้เห็นหลักฐานด้วยตาของตัวเองมาแล้วด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญก็คือ เอกสารที่มีชื่อเมือง “ร้อยเอ็ด” เขียนด้วยตัวหนังสือ ไม่ใช่ตัวเลขดังกล่าวนี้ก็คือ “ตำนานอุรังคธาตุ” (คือ ตำนานพระธาตุพนม ซึ่งมีผู้เสนอว่า ควรเริ่มเรียบเรียงขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ.2181-2184 ในช่วงต้นรัชกาลของพญาสุริยวงศาธรรมิกราช แห่งล้านช้าง แต่มีการต่อเติมเพิ่มอีกในสมัยหลัง ซึ่งคงจะหมายรวมถึงความตอนที่กล่าวอธิบายถึงเมืองร้อยเอ็ดด้วย) นั้น ก็ให้ความสำคัญกับชื่อเมืองร้อยเอ็ดเสียจนมีข้อความเขียนอธิบายเสียยาวยืด
กล่าวโดยสรุป เรื่องของเมืองร้อยเอ็ดที่ปรากฏในตำนานอุรังคธาตุนั้นมีความว่า พญาติโคตรบูร ผู้เป็นกษัตริย์แห่งเมืองศรีโคตรบอง เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่เมืองแห่งนั้น สิ้นชีวิตลงเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานลงได้ 3 ปี แล้วไปเกิดเป็น “พญาสุริยวงศาสิทธิเดช” แห่ง “เมืองสาเกตนคร”
เนื่องจากที่เคยทำบุญกับพระพุทธเจ้าจึงมีบารมีมาก พืชผลอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข และพระพุทธศาสนารุ่งเรือง เจ้าเมืองต่างๆ ทั้ง “ร้อยเอ็ดเมือง” จึงพากันมาทำพิธี “พระราชมุรธาราชาภิเษกอดิเรกมงคล” ให้เป็นใหญ่เหนือพวกตน
โดยได้ชื่อว่า “พญาสุริยวงศาสิทธิเดชธรรมิกราชาธิราชเอกราชเมืองร้อยเอ็ดปักตู” (ปักตูคือ ประตู)
คำว่า “ร้อยเอ็ด” ในความตอนนี้ของตำนานอุรังคธาตุนั้น ไม่ได้เขียนเป็นตัวเลข แต่เขียนด้วยตัวอักษรทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ได้หมายถึงจำนวน “สิบเอ็ด” และอาจจะสังเกตได้อย่างไม่ยากเย็นนักด้วยว่า คำว่า “ร้อยเอ็ด” ในที่นี้ ไม่ใช่ชื่อเมืองจริง แต่เป็นการขนานนามว่า มีอำนาจเหนือเมืองอื่นๆ อีกร้อยเอ็ดเมือง โดยใช้คำว่า “ประตู” แทน “เมือง”
ดังนั้น คำว่า “เมืองร้อยเอ็ดประตู” จึงเป็นการขนานนามว่าเป็นเมืองของ “พระจักรพรรดิราช” (ซึ่งในที่นี้เรียกว่า “ธรรมิกราชาธิราช”) คือราชาผู้อยู่เหนือราชาทั้งร้อยเอ็ดเมือง (ซึ่งก็ไม่ควรจะเป็นจำนวนจริงๆ แต่เป็นภาษาสัญลักษณ์ว่า มีจำนวนมาก) ตามปรัมปราคติในศาสนาพุทธนั่นเอง ดังปรากฏข้อความต่อไปว่า
“ตั้งแรกแต่นั้นไปภายหน้า เถิงเมื่อฤกดูกาลออกวัสสาแลสังขารนั้นมาเถิง ท้าวพญาร้อยเอ็ดเมืองก็แต่งดอกไม้เงินคำนำบรรณาการมา สั่งอำมาตย์ราชทูตแห่งตนว่า เจ้าทั้งหลายจงนำเครื่องบรรณาการฝูงนี้ไปที่พญาศรีอมรณี (คือ พ่อของพญาสุริยวงศาสิทธิเดช) พญาโยธิกา (เจ้าเมืองกุรุนทะนคร เพื่อนสนิทของพญาศรีอมรณี ที่ร่วมสละราชบัลลังก์ แล้วร่วมกับพญาศรีอมรณีทำพิธีราชาภิเษกมอบเมืองกุรุนทะนครให้พญาสุริยวงศาสิทธิเดช แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์เมืองสาเกต) อาชญาอันรักษาปักตูและเป็นหูเมืองร้อยเอ็ดปักตูนั้นก่อน แล้วจึงให้พญาทั้ง 2 แต่งนายแนบเข้าไปถวายแก่พญาสุริยวงศาสิทธิเดชธรรมิกราชาธิราชเอกราชเจ้าตนเป็นใหญ่นั้นเทอญ ท้าวพญาทั้งหลายร้อยเอ็ดเมืองเป็นสั่งดังนี้ซุปี (คือ ทุกปี)” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่า เจ้าเมืองทั้งร้อยเอ็ดเมือง ซึ่งอยู่ใต้ร่มจักรพรรดิราชของพญาสุริยวงศาสิทธิเดชนั้น ต้องส่งดอกไม้เงิน ดอกไม้คำ (คือดอกไม้ทอง) และเครื่องบรรณาการไปมอบให้เมืองสาเกตุ คือเมืองร้อยเอ็ดทุกปี โดยมอบผ่านหูเมือง (โดยปกติสำนวนนี้หมายถึง ราชทูตของเมือง) ผู้เป็นอาชญารักษาเมือง (ซึ่งแทนที่ด้วยคำว่า ปักตูเมือง คือ ประตูเมือง) ทั้งสองคนคือ พญาศรีอมรณี และพญาโยธิกา
โดยน่าสังเกตด้วยว่า ตำนานอุรังคธาตุได้ผูกชื่อของทั้งสองคนนี้เข้าด้วยกัน ดังปรากฏความเล่าต่อไปว่า
“คนทั้งหลายจึงเอาความอันนั้นมาว่า เมืองศรีอโยธิกา (คือ ศรีอมรณี+โยธิกา) ตามชื่ออันนั้น เล่าซ้ำติ่มขึ้น ชื่อว่า ศรีทวาราวัตตินคร ตามอันผีเสื้อรักษาปักตูเมือง ร้องเป็นเสียง ลวา นั้นก็มีแล”
น่าสนใจนะครับว่า ตามปรัมปราคติของพุทธ ของพราหมณ์-ฮินดู (และรวมถึงศาสนาเชนด้วย) ชื่อ “สาเกต” หรือ “สาเกตุ” ก็คือชื่อเก่าของเมือง “อโยธยา” หรือ “อยุธยา”
ดังนั้น ถ้าจะเคยมีใครเรียกชื่อเมืองสาเกตุนคร สลับแทนด้วยชื่อ “อยุธยา” หรือที่ตำนานรังคธาตุเรียก “ศรีอโยธิกา” ก็เป็นไปได้
ข้อความตอนนี้จึงควรที่จะเป็นการผูกตำนานขึ้นเพื่ออธิบายเหตุของการที่มีผู้เรียกชื่อเมืองอย่างนี้มาแต่โบราณ โดยในคนชั้นหลังที่ได้เรียบเรียงตำนานอุรังคธาตุขึ้นมา
และในอุษาคเนย์นั้น ชื่อ “อยุธยา” ยังมักปรากฏคู่กับชื่อเมือง “ทวารวดี” เช่นคำว่า กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เป็นต้น โดยจะสังเกตได้ว่าเป็นการผูกชื่อเมืองศักดิ์สิทธิ์ของอินเดียคือ เมืองอยุธยาของ “พระราม” และเมืองทวารวดี (หรือทวารกาก็เรียก) ของพระกฤษณะเข้าไว้ด้วยกัน (น่าเชื่อว่า การใช้คำว่า “ปักตู” แทนเมืองนั้น เกี่ยวข้องกับชื่อเมืองทวารวดี ซึ่งตามปรัมปราคติว่า เป็นมหานครที่มีประตูมาก) ซึ่งก็คงเคยปรากฏขึ้นที่ร้อยเอ็ดด้วย จึงมีข้อความต่อจากนี้ในตำนานเรื่องเดียวกันนี้ด้วยว่า
“ชื่อว่า ศรีอมรณีแลโยธิกา (เข้าใจว่าเพี้ยนมาจาก ศรีทวารวดีอโยธยา) นั้น เป็นชื่อแห่งพญาทั้งสองอันกินเมืองตามชื่อต้นไม้อันเป็นยาที่เจ้ารัสสีแต่งไว้ให้
ชื่อว่า อโยธิกา นั้น เจ้ารัสสีใส่ชื่อไว้ก่อน พญาร้อยเอ็ดเมืองจึงว่าสืบความแล…
…ชื่อว่า ทวารวดี เหตุมีผีเสื้อเมืองรักษาปักตูเวียงร้องดังเสียง ลวา นั้นแล”
“เจ้ารัสสี” ที่ตำนานว่าคือ “ฤๅษี” ที่เหาะมาจากป่าหิมพานต์เป็นผู้ทำราชาภิเษก พญาศรีอมรณี และพญาโยธิกาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองสาเกตุนคร และเมืองกุรุนทะนคร ตามลำดับ โดยน่าสังเกตด้วยว่า ตำนานเล่าว่าก่อนที่พญาทั้งสององค์นี้จะทำพิธีราชาภิเษกให้พญาสุริยวงศาสิทธิเดชขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น ก็ได้สำเร็จวิชาจากเจ้ารัสสี จนเหาะเหินเดินอากาศได้ เรียกว่าได้ว่าอยู่ในฐานะผู้วิเศษ มีอำนาจเหนือมนุษย์มาก่อนสละราชย์ แล้วกลายเป็น “อาชญาอันรักษาปักตูเมืองร้อยเอ็ดปักตู” คือ “อาชญารักษาเมืองร้อยเอ็ด” และก็น่าจะเป็นสิ่งเดียวกันกับที่ตำนานเรียกว่า “ผีเสื้อรักษาปักตูเมือง” เพราะคำว่า “ผีเสื้อ” นั้นก็คือ “ผีเชื้อ” คือ “ผีบรรพชน” ผู้ปกปักรักษาเมืองนั่นแหละ
อนึ่ง ในปัจจุบันนี้เมืองร้อยเอ็ดก็ยังมีแนวคิดเรื่องผีผู้ปกปักเมืองคือ “เจ้าพ่อมเหศักดิ์” ซึ่งคือผีอารักษ์ประจำเมือง ดังปรากฏศาลอยู่ที่บริเวณวัดบูรพาภิราม มาจนกระทั่งทุกวันนี้
ข้อความในตำนานอุรังคธาตุยังมีคำอธิบายชื่อต่างๆ ของเมืองร้อยเอ็ดเดิมอยู่อีก โดยนำไปอธิบายในทำนองที่ว่า เป็นชื่อของเมืองในที่เรียกต่างกันในแต่ละยุคของพระอดีตพุทธเจ้า ดังที่มีข้อความว่า
“ชื่อว่า กุรุนทะนคร นั้น ตามชื่อแต่ปฐมกัป เมืองอันนี้เมื่อปางศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันธเจ้านั้น
ชื่อว่า เมืองกุรุฏฐะนคร (บางสำนวนว่า กุรุรัฐนคร) เมื่อปางศาสนาพระเจ้าโกนาคมเจ้า
ชื่อว่า เมืองพาหละนคร (บางสำนวนว่า เมืองหัตถนคร, พาหาระนคร, พาหระนคร) เมื่อปางศาสนาพระเจ้าพระกัสสปะเจ้า”
เอาเข้าจริงแล้ว นอกจากตำนานอุรังคธาตุจะเขียนคำว่า “ร้อยเอ็ด” ด้วยตัวอักษร ไม่ใช่ตัวเลขแล้ว ก็ยังมีร่องรอยหลักฐานความสำคัญของเมืองร้อยเอ็ดในอดีต ผ่านชื่อเก่าแก่ต่างๆ ที่ถูกรวบรวมเอาไว้ในตำนานเรื่องนี้ รวมทั้งยังแสดงให้เห็นว่า ชื่อร้อยเอ็ดนั้น เป็นสัญลักษณ์ความเป็นจักรพรรดิราช เหนือพญาร้อยเอ็ดประตูเมือง ของกษัตริย์ที่มีชื่ออยู่ในตำนานอย่าง พญาสุริยวงศาสิทธิเดช อีกด้วย
จังหวัดร้อยเอ็ดจึงควรที่จะเลิกด้อยค่าตนเองว่า มีประตูเมืองเพียง 11 ประตู เพราะซอฟต์เพาเวอร์ของชื่อร้อยเอ็ดที่ปรากฏอยู่ในตำนานอุรังคธาตุนั้น สร้างมูลค่าให้กับจังหวัดได้มากกว่านั้นอีกมากเลยทีเดียว •
On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022