‘ลี้ลับ’ | ปริญญากร วรวรรณ

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

กลางป่าเบญจพรรณ ต้นฤดูฝน

ริมลำห้วยสายเล็กๆ ที่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน สายน้ำลดระดับ เหลือเพียงร่องเล็กๆ แนวหินระเกะระกะ แต่หลังจากฝนตกเกือบทุกบ่าย มาหลายวัน ระดับน้ำเพิ่มขึ้น จนท่วมหัวเข่า ในตอนเช้าที่ผมต้องข้ามไปอีกฝั่ง

ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นเพราะมีเสียงผิดปกติดังขึ้นรอบๆ เต็นท์ นาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีสามครึ่ง

ผมลืมตาในความมืด คืนข้างแรมอย่างนี้ ลืมตาหรือหลับตาดูเหมือนจะมีค่าเท่ากัน มันเป็นความมืดขนาดแม้ยกฝ่ามือขึ้นไว้ตรงหน้าก็มองไม่เห็น

เสียงที่ปลุกให้ตื่นยังดังอยู่ ผมค่อยๆ ขยับตัวรูดซิปถุงนอน พยายามนึกว่ามันเป็นเสียงอะไร

นอกจากเสียงนี้แล้ว ป่าทั้งป่าเงียบสงัด มีเพียงเสียงน้ำในลำห้วยไหลกระทบแนวหินเบาๆ

ไม่มีเสียงนกเค้าภูเขา ไม่มีเสียงเก้งร้องกระชั้นๆ คล้ายเสียงหมาเห่าด้วยความตกใจ เพราะเดินผ่านมาแถวนี้ และได้กลิ่นกายคน

ผมเอื้อมคว้าไฟฉายที่วางข้างๆ มาคาดหัว เสียงผิดปกติดังต่อเนื่อง ใกล้มาก มันดังอยู่ข้างเต็นท์นี่เอง

ไม่ใช่เสียงสัตว์ป่า ไม่ใช่เสียงลมพัดยอดไม้ ไม่ใช่เสียงคลานของสัตว์เลื้อยคลาน

มันเป็นเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินรอบๆ ไม่ใช่เสือหรอก ผมคิด เพราะเสือซึ่งหดเล็บเข้าไปไว้ในอุ้งตีนได้ การเดินของมันไม่มีเสียง

และผมก็เชื่อว่า ไม่น่าจะมีสัตว์ตัวไหนเข้ามาเดินรอบๆ แน่

 

ผมสลัดถุงนอนออก ค่อยๆ ขยับมาที่ประตูเต็นท์

ไม่ทันจะรูดซิปประตูเต็นท์ มีเสียงแทรกขึ้นมาอีก คราวนี้เป็นเสียงพ่นลมหายใจแรงๆ ของสิ่งมีชีวิต

เสียงดังรอบๆ ชัดเจนขึ้น ผมจับท่วงทำนองได้ มันเป็นเสียงคนใส่รองเท้าแตะ เดินอยู่รอบๆ นั่นเอง

กลางป่า ผมอยู่เพียงลำพัง ปรากฏเสียงคนใส่รองเท้าแตะเดิน มีเสียงหายใจแรงๆ

ผมตัดสินใจรูดซิปเปิดประตูเต็นท์ มุดออกมา เปิดไฟฉายหันมองรอบๆ

ว่างเปล่า ไม่มีแม้เงาของสิ่งมีชีวิต หรือ “อะไร” ก็ตาม อยู่ในบริเวณนั้น

เมื่อออกมาอยู่ข้างนอก เสียงเดิน และเสียงหายใจหายไป

ผมหันดูรอบๆ อย่างไม่แน่ใจ ก้มดูที่พื้น ไม่ปรากฏร่องรอย สิ่งของที่วาง อยู่ครบ กองไฟมอดดับ ฟืนท่อนหนึ่งมีถ่านแดงๆ

เป็นคืนที่น้ำค้างค่อนข้างแรง ผ้าขาวม้าที่ตากไว้บนราวเปียกชุ่ม

เหลือเวลาอีกนานจะสว่าง ฟ้ากว่าจะมีแสงก็เกือบ 6 โมงเช้า

ผมกลับเข้าเต็นท์ ขณะความสงสัยยังไม่สร่าง รูดซิปปิดประตู เข้าถุงนอน ขยับตัวหามุมสบายหลับตา

เสียงคนใส่รองเท้าแตะเดินดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงหายใจ

ผมลืมตา ลุกขึ้นนั่งอยู่ในความมืด

“มันคืออะไรล่ะ” ผมถามตัวเอง

หรือคืนนี้ ผมจะพบกับสิ่ง “ผิดปกติ” พบกับ ความลี้ลับ ของป่าแล้ว

 

ทั้งหมดที่ผมเขียนมาข้างต้นนี้ คงเป็นงานเขียนเรื่องการผจญภัยในป่าอีกชิ้นหนึ่ง

ผมไม่รู้หรอกว่า ผมพบกับอะไร นี่คล้ายจะไม่ใช่เรื่องราวผิดปกติ เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่คนเข้าป่าจะเผชิญ ป่า ในความหมายป่า คือสถานที่ลี้ลับ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายอันตราย

เพียงแต่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเชื่อและเข้าใจ

สำหรับผม ป่า เป็นโรงเรียน ที่มีบทเรียนให้เรียนอย่างไม่รู้จบ

สมเสร็จ – สมเสร็จเป็นสัตว์ที่ไม่มีอาณาเขตแน่นอน เดินหากินไปตามแหล่งอาหาร พบเจอตัวยาก จึงคล้ายเป็นสัตว์ลึกลับ การเดินไปทั่วของพวกมันจึงทำหน้าที่แพร่กระจายพันธุ์พืชได้อย่างกว้างขวาง

หลังนั่งลืมตาอยู่ในความมืดร่วม 5 นาที ดูเหมือนว่าเสียงเดินจะดังขึ้นเรื่อยๆ ว่าไปแล้ว การออกไปดูแต่ไม่พบอะไร มันทำให้ความเชื่อผมคลอนแคลนไม่น้อย

ผมตัดสินใจมุดออกจากเต็นท์ เพื่อดูรอบๆ อีกครั้ง

ว่างเปล่า รอบๆ มีแต่ความว่างเปล่าเช่นเดิม คราวนี้เสียงไม่หายไป ผมมองไปที่ฟลายชีต ที่ขึงด้านบนเต็นท์ น้ำค้างเปียกชุ่ม ไหลหยดลงพื้น ไม่ต่างจากฝนตก หยดน้ำหล่นลงกระทบใบไม้แห้งบนพื้น เสียงดังคล้ายคนใส่รองเท้าแตะเดิน น้ำค้างหยดลงรอบๆ

ผมถอนหายใจ ความสงสัยเรื่องเสียงเดินหายไปแล้ว แต่เสียงหายใจยังคงอยู่

ผมมองไปทางกอไผ่ ต้นเสียงมาจากนั่น ผมเดินไปดูใกล้ๆ ที่กอไผ่ไม่มีตัวอะไร

ผมก้มดูที่พื้น พบรูขนาดใหญ่ ในรูมีตัวอ้น กำลังพ่นลมหายใจเสียงดัง

มันคงได้กลิ่นผม และตกใจ จึงพ่นลมหายใจดังๆ ในท่วงทำนองขู่ผู้บุกรุก

มันอยู่ในรู ผมจึงไม่เห็นตัว

 

ผมกลับเข้าเต็นท์

เสียงน้ำค้างหยดลงพื้นเป็นจังหวะ ทำให้รู้สึกสบาย

หลับไปพร้อมๆ กับความเชื่ออันคลอนแคลนหายไป

ความเชื่อมั่นเดิมกลับคืนมา

 

ในป่ามีความเชื่อมีเรื่องเล่ามากมาย คนต่างมีประสบการณ์พบเจอสิ่งต่างๆ กันไป

เขี้ยวเล็บ รวมทั้งทักษะต่างๆ ของเหล่าสัตว์ผู้ล่า แท้จริงเป็นเพียงเครื่องมือที่พวกมันได้รับมอบหมายมาให้เหมาะสมกับงานที่ทำ ถึงวันนี้ แม้ว่าจะมีสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นช้าง กระทิง หรือตัวอื่นๆ พุ่งเข้าโจมตีคนทันทีที่พบ ก็ไม่ได้ทำให้ความเชื่อของผมเปลี่ยนไป

แต่เข้าใจถึงปัญหา ที่พวกมันกำลังเผชิญมากขึ้น

ผมใช้เวลาในป่ามานานพอสมควร ได้รับบทเรียนจาก “โรงเรียน” มาส่วนหนึ่ง มีบทเรียนอีกมากมายที่ยังไม่ได้รับรู้

แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ บทเรียนในป่า ทำให้ผมรู้ว่า

ป่า รวมทั้งชีวิตในป่า ไม่ได้มีความลี้ลับอะไร

ความ “ลี้ลับ” นั่น คล้ายจะอยู่ในใจผมเอง •

 

หลังเลนส์ในดงลึก | ปริญญากร วรวรรณ