โทนี่ วู้ดซัม แผ่ Heat Wave ร้อนที่โน่น ระอุที่นี่

หากเอาวลี “เผาบ้านทั้งหลัง เพื่อจับหนูตัวเดียว” มาใช้เปรียบเทียบการเมืองไทย จะเห็นภาพชัดกับต้นทุนการเมือง ต้นทุนประชาธิปไตยที่สูญเสียไปกับการหาทางกำจัดหนูตัวนั้น ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

มาถึงวันนี้ ต้องใช้คำว่า หนูตัวนั้นนอกจากไม่ตายแล้ว หนูและพรรคพวกของหนูตัวนั้น กลับขยายปริมาณเพิ่มขึ้น ในขณะที่บ้านก็ยังไหม้อยู่ ไฟร้อนรุมเร้า ไม่ยอมดับมาเกือบ 2 ทษวรรษ และดูทีท่าจะไม่ดับลงง่ายๆ เพราะมีการสร้างระบบจุดไฟและเผาไฟขึ้นมาใหญ่โต

เสถียรภาพทางการเมืองไทยจึงยังมืดดำ ตกหลุมต่อไปอีกนาน

ใช่แล้ว หนูตัวนั้นก็คือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้ถูกรัฐประหาร ที่ปัจจุบัน แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว เข้ามาลงสนามการเมืองเต็มตัวในนามแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย

ที่ว่าหนูตัวนี้ยังไม่ตาย ก็ดูเอาจากผลโพลสำนักของสถาบันการศึกษาที่ทำวิจัยเก็บสถิติกันต่อเนื่องหลายครั้ง จนถึงวันนี้กระแสแลนด์สไลด์ยังนำห่างขาดลอย ว่ากันอย่างตรงไปตรงมา แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เกือบจะไม่ใช่คู่แข่งของเพื่อไทยในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ซะแล้ว

ทุกอย่างย้อนกลับไปที่ฝ่ายตรงข้ามของทักษิณ ทำตัวเอง ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ล้มเหลวทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ยิ่งบริหารยิ่งทำตามสัญญาไม่ได้ คะแนนนิยมยิ่งกลับย้อนไปหาทักษิณ ในฐานะผู้นำประชานิยมเข้ามาในการเมืองไทย แต่ทำได้จริง

แม้ฝ่ายผู้นำทหารที่ยึดอำนาจ จะแปลงกลายลงเลือกตั้ง ใช้นโยบายประชานิยมบ้าง กลับไม่สามารถทำได้จริง แถมได้เวลาบริหารประเทศเกือบสิบปี ก็ยังไม่สำเร็จ (ยังจะใช้ประชานิยมหาเสียงหนักขึ้นในงวดนี้อีก)

เอาเป็นว่าบริหารกันจนฝ่ายขวา หรือปัญญาชน สื่อมวลชน นักวิชาการสายอนุรักษนิยมที่เคยโอบอุ้มกันมา ยังท้อ บางคนถึงกับแสดงความเห็นยอมรับแล้ว ถ้านายกฯ คนต่อไปจะชื่ออุ๊งอิ๊ง โดยมีหมายเหตุเสียงอ่อยๆ ว่าขอแค่อย่าทำแบบพ่อแล้วกัน

หรือจนถึงวันนี้จะเห็นบ้านใหญ่หลายหลังในการเมืองไทยก็ยังทยอยกลับเข้าซบเพื่อไทยไม่หยุด เดินขึ้นพรรคกันชนิดหัวบันไดไม่แห้ง

หรือจะเป็นโพลของหน่วยงานความมั่นคงแห่งหนึ่งใช้กลไกเชิงระบบเข้าสำรวจประเมินความนิยมของพรรคการเมืองและการเลือก ส.ส.ครั้งแรกรอบ 2 เดือนก่อนเลือกตั้ง ก็พบว่า เพื่อไทยมาเป็นอันดับ 1 แต่จะไม่ถึงขนาดแลนด์สไลด์ โดยได้ ส.ส.ระหว่าง 180-200 ที่นั่ง และพรรคภูมิใจไทยมาเป็นอันดับ 2

นี่คือการสะท้อนความนิยมที่มีต่อการเมืองแบบพรรคเพื่อไทย การเมืองแบบทักษิณ

 

อย่างไรก็ตาม ทักษิณก็มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนทางการเมืองให้พึงระลึก โดยเฉพาะการจุดไฟการเมืองไทยให้ร้อนระอุเรื่อยมา และดูจะส่งคลื่นความร้อนมาแบบถี่ๆ ช่วงนี้

ด้วยความฉลาดในการใช้สื่อใหม่สื่อสารทางความคิดเข้าถึงคนทุกชนชั้น ทักษิณเปิดคลับเฮาส์ให้ทุกคนสามารถเข้าไปถามคำถามเคลียร์ใจทุกเรื่องเป็นเวลามากกว่า 2 ปีแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องเสื้อแดง สู้ไปกราบไป แถมยังเป็นพื้นที่ทางการเมืองใช้ตอบโต้ทางความคิดกับรัฐบาลและขั้วอำนาจอนุรักษนิยม

แต่นั่นแหละ ทักษิณคือทักษิณ ล่าสุดคือการแสดงความเห็นเรื่องสงครามรัสเซียบุกยูเครน เล่นเอาเดือดไปทั้งโซเชียล

ในการแสดงความเห็นผ่านไลฟ์เฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทยช่วงหนึ่งได้วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อเซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ระบุว่าประเทศยูเครนซวยได้ตัวตลกเป็นผู้นำประเทศ แล้วสนุกจนเกินเลย น่าจะเจรจาตั้งแต่ต้น

“ผมคิดว่ายูเครนเนี่ยซวย เพราะว่าอยู่ๆ ประธานาธิบดีซึ่งเป็น- ที่มาจากตัวตลก ถูกสร้างให้เป็นพระเอกชั้นนำ ก็เลยเป็นพระเอกสนุกไปหน่อย แต่ว่าขณะเดียวกันบ้านเมืองพัง” ทักษิณกล่าว

เล่นเอาชาวเน็ตถึงกับเดือด แม้แต่ รัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตทูตคนดัง ที่เข้าร่วมงานกับเพื่อไทย ยังต้องออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับทักษิณ ระบุว่า เซเลนสกีได้พิสูจน์ให้โลกส่วนใหญ่เห็นถึงความกล้าหาญในการมุ่งมั่นปกป้องมาตุภูมิ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชาวยูเครนส่วนใหญ่เห็นสิ่งนี้และสนับสนุนเขาตราบถึงทุกวันนี้

 

เรื่องแรกยังไม่จบ ตามมาด้วยวิวาทะเรื่องที่สอง วันเดียวกัน ทักษิณออกมาฟาด ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่างตรงไปตรงมาในพื้นที่สาธารณะเป็นครั้งแรก

ทักษิณกล่าวว่า ตัวเองรู้สึกงงที่นายธนาธรวิจารณ์เพื่อไทย ถึงเรื่องการซื้อตัวนักการเมืองจากพรรคหรือมุ้งต่างๆ มาเข้าพรรคแม้มีอุดมการณ์ที่ต่างกัน โดยมุ่งหวังเรื่องการชนะถล่มทลาย (แลนด์สไลด์) เพียงอย่างเดียว ไม่ใช่แค่นั้น ทักษิณกล่าวต่อไปว่า ได้ยินหลายคนกล่าวว่า พรรคก้าวไกลเหมือนประชาธิปัตย์ ซึ่งตนก็เห็นด้วย และมองว่ายิ่งเหมือนไปทุกวันๆ

“นี่ วันเนี้ย ผมงงมากเลยนะ ธนาธรก็ออกมาโจมตีเพื่อไทย เอ๊ย! ผมงงโว้ย! ที่คนบอกก้าวไกลเหมือนประชาธิปัตย์ ชักเหมือนขึ้นทุกวันนะเนี่ย” นายทักษิณกล่าว

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าการที่ทักษิณออกมาเปิดหน้าชนธนาธรตรงไปตรงมาแบบนี้ จากที่เคยชื่นชม ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เป็นไปตามยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ ที่ต้องการเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุด เพราะหากดูผลโพลทั่วประเทศ พล.อ.ประยุทธ์แทบไม่ใช่คู่แข่งในการเลือกตั้ง แต่คะแนนที่มาอันดับ 2 ในหลายพื้นที่ กลับเป็นก้าวไกล คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่างหาก โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ และกรุงเทพฯ ที่พิธามีคะแนนนำ

ตามมาด้วยการเปิดเกมรุกของกลุ่มแคร์ที่เพิ่มยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อไทยไม่ขายพ่วง และถ้าเลือกพ่วงร่วงกันหมด! นัยยะก็คือ ถ้าจะเลือกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ต้องเลือกเพื่อไทยเท่านั้น ถ้าเลือกพรรคอื่น เราจะแพ้กันหมด…

 

ท่ามกลางวิวาทะที่ยังคุกรุ่นฝุ่นตลบ ทักษิณยังไปให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่น จุดประเด็นร้อนขึ้นมาอีก ว่าจะกลับประเทศไทยหลังเลือกตั้ง แม้ตัวเองจะต้องติดคุก

ในรายงานข่าวระบุว่า อดีตนายกรัฐมนตรีประกาศว่าพร้อมที่จะรับโทษจำคุกในไทย แลกกับการที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในไทยที่กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม และจะไม่ขอนิรโทษกรรมเด็ดขาดแม้เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล

โดยกำลังพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางกลับ ซึ่งอาจจะเป็นภายในปีนี้หลังการเลือกตั้ง และพร้อมที่จะรับโทษจำคุก โดยเขาหวังว่าจะยื่นอุทธรณ์ในบางคดี

“ผมทรมานมามากพอแล้ว ถ้าผมต้องไปทนทุกข์ในคุกเล็กอีกก็ไม่เป็นไร แม้มันไม่ใช่ราคาที่ผมจำเป็นจะต้องจ่าย แต่ผมยอมจ่ายเพราะผมอยากอยู่กับหลานๆ” ทักษิณกล่าว

 

ไม่รู้ว่าเจตนาที่แท้จริงของอดีตนายกฯ ในการให้สัมภาษณ์ว่าจะกลับประเทศคืออะไร แต่ในทางการเมือง ช่วงจังหวะนี้ มันส่งผลต่อคะแนนนิยมทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะอย่างน้อย ข้ออ้างของคนเกลียดอดีตนายกฯ ที่มักเรียกร้องให้กลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็ใช้ไม่ได้อีก เป็นการดึงเสียงของคนที่เคยไม่ชอบ ให้กลับมายอมรับได้ หากรัฐบาลหน้าจะเป็นพรรคเพื่อไทยนั่นเอง

แต่ก็ยังมีคำถามเรื่องการที่เพื่อไทยอาจจับมือกับพลังประชารัฐ กระทั่งจับมือดัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯ โผล่ขึ้นมาอีก เพราะจู่ๆ วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บ้านใหญ่แห่งเมืองโคราช ก็ออกมาบอกว่าทักษิณยอมรับได้ หาก พล.อ.ประวิตรจะเป็นนายกฯ คนต่อไป

“วันนี้เห็นหรือไม่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังบอกว่ายอมได้ หาก พล.อ. ประวิตรจะเป็นนายกฯ เห็นหรือไม่ว่าสิ่งที่เราสื่อไปท่านก็สื่อกลับมา” วิรัชกล่าว

เล่นเอาโซเชียลแตกอีก เผือกร้อนก้อนนี้ ถูกโยนไปหาพรรคเพื่อไทยทันที ระหว่างกำลังถกเถียงกับพรรคก้าวไกลอยู่ พรรคเพื่อไทยจึงต้องพักยกหันมาตอบโต้วิรัช

ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รายแรก ออกมาตอบโต้วิรัชตรงๆ เป็นการประกาศจุดยืนเพื่อไทยครั้งสำคัญ

“สิ่งที่นายวิรัชพูดถือว่าฝันกลางวันหรือไม่ พรรคเพื่อไทย โดยกรรมการบริหารพรรค ไม่เคยมีมติเช่นนั้น เราไม่เคยตกลง ไม่เคยประสานกับนายวิรัช เรามุ่งหน้าแลนด์สไลด์ ไม่สนับสนุนคนอื่นเป็นนายกฯ ไม่ประสงค์ร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐ” ภูมิธรรมระบุ

แต่ยังดับร้อนไม่สนิทพอ ทักษิณต้องออกมาดับร้อนจากวิรัชด้วยตัวเอง ทักษิณทวีตข้อความชี้แจงทันทีหวังดับกระแสข่าวยกตำแหน่งนายกฯ ให้ป้อม

“1.ผมไม่ได้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย 2.ผมไม่เคยสื่อสารกับคุณวิรัชมานานมากแล้ว อีกทั้งไม่เคยคุยกับ พล.อ.ประวิตรมา 17 ปีแล้ว 3.ผมมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง เชื่อว่าพรรคไม่โง่พอที่จะยกตำแหน่งนายกฯ ให้ป้อม…” ทักษิณระบุ

 

ต้องยอมรับในลีลา ความเก๋าทางการเมืองของทักษิณที่ผ่านประสบการณ์มาเยอะ กล้าได้กล้าเสีย แม้จะรับฟังเสียง หรือมุมมองอื่นมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งร่องรอยอดีต อย่างเช่นเรื่องยูเครน ที่ออกตัวแรงมาก จนคนทำงานในเพื่อไทยถึงกับกุมขมับ

แต่ก็นั่นแหละ แม้ทักษิณจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหรือสัญลักษณ์ทางการเมืองที่สำคัญ แต่ทักษิณก็คือคนทั่วไป อย่างน้อยก็วิจารณ์ได้ ตำหนิติชมได้ แต่เมื่อมีความผูกพันกับพรรคเพื่อไทย มีบุตรสาวลงแข่งเลือกตั้ง การคิดพูดอะไร ย่อมส่งผลต่อคะแนนนิยมเสมอ

แต่มากกว่าคะแนนนิยม คือบทเรียนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยุบพรรค-ตัดสิทธิ์ทางการเมือง และกลไกอำนาจรัฐอื่นๆ ที่อาจจะเอามาจัดการกับพรรคเพื่อไทย

ดูตัวอย่างไทยรักไทย-พลังประชาชน-ไทยรักษาชาติ หรือแม้แต่อนาคตใหม่โดนนั่นแหละ

ถ้าฝ่ายอนุรักษนิยมหลังพิงฝา อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้น ท่าทีทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร จึงสำคัญ

เพราะถ้าส่งกระแสคลื่นความร้อน หรือ Heat Wave อย่างไม่ระมัดระวัง มาเป็นระลอก และทำตัวเป็นสายล่อฟ้า ก็ระวังพายุฤดูร้อนและฟ้าผ่า (อีก) แล้วกัน