วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย เสถียร จันทิมาธร / ถ้ำ สุสาน ต๊กโกวคิ้วป่าย (113)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

ถ้ำ สุสาน ต๊กโกวคิ้วป่าย (113)

ความสัมพันธ์ระหว่างเอี้ยก่วยกับอินทรีอัปลักษณ์จึงเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะพิเศษ เพราะมีลักษณะช่วยเหลือ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ดังนั้น เมื่อมาพบกันหนที่ 2 จึงดำเนินไปด้วยสันถวมิตรอันสนิทสนมยิ่ง

โดยเฉพาะเมื่อเดินเข้าไป “ถ้ำของต๊กโกวคิ้วป่าย”

ภายในถ้ำมืดทะมื่นแต่ตื้นอย่างยิ่ง เดินไม่ถึง 3 วาก็บรรลุถึงสุดทาง ภายในนั้นนอกจากโต๊ะหินตัวหนึ่งแล้วก็ไม่มีข้าวของอื่นอีก ณ มุมถ้ำมีกองหินระเกะระกะนูนสูงคล้ายเป็นหลุมฝังศพ บนผนังถ้ำมีอักษรแต่ถูกฝ่าละอองจับ ตะไคร่เขียวบดบัง

ในความมืดมิอาจเห็นชัดถนัดตา ต่อเมื่อตีหินเหล็กไฟจ่อจุดกิ่งไม้แห้งขึ้นท่อนหนึ่ง ยื่นมือปาดลบคราบตะไคร่ ปรากฏเป็นอักษร 3 แถว ลายเส้นอักษรเล็กยิ่งจมลึกในเนื้อหินแสดงว่าสลักจากอาวุธอันแหลมคม

มีใจความว่า

“ท่องทะยานยุทธจักร 30 กว่าปี สังหารศัตรูอริราช โค่นวีรบุรุษกล้าหาญ ทั่วทั้งโลกหล้าไร้คู่มือต่อต้าน ยามอับจนปัญญา ได้แต่เร้นกายพำนักในหุบเขาลึก มีอินทรีเป็นเพื่อน โอ อนิจจา ในชีวิตคิดแสวงหาคู่มือสักคนยังไม่พบพาน นับเป็นความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างสุดทนทาน”

ลงนามระบุเป็น “เกี่ยมม้อ ต๊กโกวคิ้วป่าย”

ต๊กโกว แปลว่า โดดเดี่ยว คิ้วป่าย แปลว่า แสวงหาพ่ายแพ้

ถํ้านี้เป็นเพราะพี่อินทรีลากดึงเข้ามา รายละเอียดภายในถ้ำแต่ละเรื่องราวเป็นเพราะพี่อินทรีลากดึงผลักตีให้มันเข้าไปรับรู้

เอี้ยก่วยทบทวนอ่านข้อความอยู่หลายเที่ยว

ทั้งแตกตื่น ทั้งเลื่อมใส ทั้งรู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างซึ่งเคลือบแฝงอยู่ภายใน ยอดคนผู้อาวุโสท่านนี้เพียงเพราะมีฝีมือไร้ผู้ต่อต้าน ได้แต่พำนักเร้นกายภายในหุบเขาลึก อย่างนั้นความลึกล้ำพิสดารของพลังฝีมือไม่ทราบว่าบรรลุถึงขั้นใด

คนผู้นี้ขนานนาม “กระบี่อสูร” ย่อมใช้กระบี่ปานเทพยดา

และมีนาม “คิ้วป่าย” แสวงหาพ่ายแพ้ แสดงว่าท่องไปทั่วหล้า ต้องการเสาะหาผู้ที่เอาชัยตัวเอง ในที่สุด ไม่สมมาดปรารถนาต้องอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ด้วยความตรมตรอมกระทั่งตายจากไป

ยิ่งหวนนึกถึงบุคลิกภาพยอดคน ยิ่งอดเคลิบเคลิ้มงมงายมิได้

ค่อยๆ ยกชูกิ่งไม้ที่จุดไฟขึ้นสำรวจดูภายในถ้ำรอบหนึ่งไม่พบริ้วรอยอื่นอีก บนหลุมฝังศพ กองหินก็ไม่ได้ทำเครื่องหมายอันใด คาดว่าหลังจากที่ยอดคนท่านนี้เสียชีวิต เป็นอินทรีคาบก้อนหินมาสุมซ้อนบนซากศพ

ซึมเซาอยู่ครู่จึงคุกเข่าลงกราบกรานคารวะ 4 ครั้งครา

นั่นเป็นการพบอินทรีครั้งแรก นั่นเป็นการถูกลากดึงให้เข้าไปยังถ้ำอันเป็นสุสานของต๊กโกวคิ้วป่าย นั่นเป็นการผูกไมตรีกับอินทรีอย่างลึกซึ้ง

โดยไม่รู้ว่า “ต๊กโกวคิ้วป่าย” เป็นใคร

ในความครุ่นคิดของเอี้ยก่วย “ในผู้อาวุโสชาวบู๊ลิ้มไม่เคยได้ยินชื่อต๊กโกวคิ้วป่าย อย่างนั้นท่านอย่างน้อยเป็นบุคคลเมื่อ 60-70 ปีก่อน”

ปณิธานเมื่ออำลาจากถ้ำและอินทรีคือ

“เตียวเฮียเอยเตียวเฮีย ผู้น้องไม่มีชีวิตยืนยาว รอจนสะสางเรืองของธิดาน้อยก๊วยแป๊ะแปะ ข้าพเจ้าร่ำลากับโกวโกวเป็นครั้งสุดท้ายจะย้อนกลับมายังที่นี้ฝังสังขารอยู่ข้างต๊กโกวไต้เฮียบ”

กล่าวพลางน้อมกายคารวะอำลา

เมื่อหวนกลับมายังถ้ำศิลาอีกหนมองดูหลุมฝังศพอดสะทกสะท้อนมิได้ หวนนึกถึงยอดคนผู้อาวุโสท่านนี้ท่องทะยานทั่วแผ่นดินโดยไร้ผู้ต่อต้าน ย่อมมีพลังฝีมือลึกล้ำสุดหยั่งคาด คำนวณจากพฤติกรรมคงทระนงถือดี ยากที่จะคบหากับผู้คนทั่วไป

สุดท้ายมายังหุบเขาร้างแห่งนี้สิ้นชีวิตด้วยความอ้างว้าง

อาจกล่าวได้ว่าหุบเขาร้าง ถ้ำต๊กโกวคิ้วป่าย เป็นอีกสถานี 1 ซึ่งทรงความหมายยิ่งต่อวิทยายุทธ์ของเอี้ยก่วย

นอกเหนือจากเรียนรู้จากอาวเอี้ยงฮง นอกเหนือจากเรียนรู้จากสำนักเฉียนจึง

นอกเหนือจากได้รับการถ่ายทอดวิถีโค้งจากอั้งชิดกง และได้รับการถ่ายทอดวิถีโค้งจากอึ้งเอี๊ยะซือ และพื้นฐานอันหนักแน่นจริงจากสำนักสุสานโบราณ รวมถึงการต่อยอดจากคัมภีร์นพยมหรือคัมภีร์เก้าอิม

นี่เป็นอีกห้วงหนึ่งแห่งชีวิตของเอี้ยก่วยที่สำคัญ