คอฟฟี่เบรก ประภาส อิ่มอารมณ์ /…เพื่อนเก่าชาวอิตาเลียน…

คอฟฟี่เบรก/ประภาส อิ่มอารมณ์

…เพื่อนเก่าชาวอิตาเลียน…

มีเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาหา ทำเอาตกใจเมื่อเห็นหน้าเข้า

มันเป็นเพื่อนชาวอิตาเลียนที่เรียนอยู่อะคาเดมีเดียวกันในโรม และเป็นเพื่อนอิตาเลียนคนแรก

หมอนี่ชื่อ ราฟาเอลเร่ เป็นคนทางใต้เกือบถึงนาโปลี ชื่อหมู่บ้านที่เขาอยู่ เปีย ดิ มอลเต้ ดิ อาลิเฟ่

เจ้าราฟาเอลเร่นี่การแต่งตัวและน้ำเสียง คนโรมจะรู้ทันทีว่ามันเป็นคนมาจากบ้านนอก

แต่สำหรับพวกเรา มันจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เพราะเป็นคนจริงใจและคอยให้การช่วยเหลืออยู่เสมอ

และเหนืออื่นใดเจ้าหมอนี่มีพรสวรรค์ในการฟังคนไทยพูดภาษาอิตาเลียนได้เข้าใจ และช่วยแปลความหมายให้เป็นภาษอิตาเลียนที่ถูกต้องอีกที ทำให้เราได้เรียนรู้ภาษาไปในตัวและช่วยให้จำแม่นเสียด้วย

เจ้าหมอนี่ใครจะด่า จะค่อนแคะอย่างไรไม่เคยโกรธ

แต่ถ้าเอาเรื่องถิ่นฐานบ้านเกิดมาถากถางเป็นของขึ้นทุกที เพราะเขาภูมิใจในตำนานสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หมู่บ้านพวกเขาได้ยืนหยัดต่อสู้กองทัพนาซีอย่างกล้าหาญจนทหารอิตาลีเข้ามาไล่ข้าศึกออกไปได้

ซึ่งทุกครั้งที่เดินทางกลับบ้านทางรถไฟเมื่อผ่านป้อมปราการที่ยังทิ้งร่องรอยการถูกทำลายจากกองทหารนาซี เขาจะต้องยืนตรงยกมือวันทยหัตถ์แล้วแหกปากร้องเพลงปลุกใจเป็นภาษาทางบ้านเขา (เข้าทำนองแบบเดียวกับ พี่แอ๊ด คาราบาว ร้อง…บางระจัน…บางระจัน…) อย่างภาคภูมิ

ทำให้ผู้โดยสารที่อยู่ในโบกี้นั้นต่างเงียบกริบ จนเมื่อเพลงจบ จึงจะมีเสียงปรบมือบ้าง ร้อง bravo… bravo… บ้าง

แต่เมื่อเขามาถึงเมืองไทย และหาทางมาพบกัน จึงเป็นสิ่งไม่คาดคิดและดีใจที่ได้พบเพื่อนอิตาเลียนคนแรก แต่ในสภาพนักท่องเที่ยวแบบ backpacker ซึ่งคงไม่สามารถที่จะต้อนรับขับสู้พาไปอยู่ที่บ้านได้

โชคดีที่ราฟาเอลเร่ทำการบ้านมาดี เขาเลยได้ที่พักแถวตรอกข้าวสาร ซึ่งมีความสะดวกสบายสำหรับในการพักอาศัยและข้อมูลต่างๆ ในการท่องเที่ยวราคาถูก

เมื่อถามว่าเขาไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง คำตอบก็อยู่ในสมุดสเก๊ตช์รูป แม้ดรอว์อิ้งของเขาไม่ค่อยสู้ดีซึ่งเป็นมาแล้วตั้งแต่ตอนเรียนที่อะคาเดมีด้วยกัน แต่ก็พอสัมผัสได้ว่า เขาไปตระเวนเที่ยวทางเหนือ เพราะมีภาพการเคลื่อนไหวของพวกชาวเขาและวัดวาอารามสไตล์ล้านนามากมาย

ถามว่าเขาประทับใจอะไรบ้าง ราฟาเอลเร่ตอบแบบไม่ต้องคิดว่า คนไทยใจดีมาก เหมือนคนอิตาเลียนในต่างจังหวัด ไปไหนพบแต่รอยยิ้มแย้ม และการหยอกล้อ แม้จะไม่เข้าใจความหมาย แต่ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ สื่อถึงกันได้โดยทันทีว่า มันมีแต่ความเมตตาและมิตรภาพ

ส่วนเรื่องอาหารการกิน แม้อาหารไทยจะมีรสเผ็ด แต่ก็มีสุนทรียภาพในการตกแต่งและการปรุงรส ด้วยสมุนไพรตามธรรมชาติ จนทำให้อยากกินและคุ้นเคยไปในที่สุด จนเมื่อเขากลับไปกินสปาเกตตีแล้วเกิดความรู้สึกไร้รสชาติ ซ้ำร้ายกลิ่นของเนยที่เป็นส่วนผสมหลักของอาหารอิตาเลียน…พลอยถูกรังเกียจไปเสียแล้ว

ที่สำคัญที่สุด อาหารข้างถนนมีให้เลือกมากมายหลายแห่ง แถมราคาถูก และหากินได้ตลอดคืน …benesima…ซู้ดยอด!

เมื่อถามว่าอยากให้พาไปไหน…

เขาบอกว่าอยากไปดูอะคาเดมีที่เอ็งเรียน (ซึ่งหมายถึงศิลปากร) ก็เลยบอกว่า ตอนนี้เขาปิดเทอม แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะพาไปให้เอ็งเห็น…

สิ่งที่เอ็งจะนึกไม่ถึง และถ้าเห็นแล้ว เอ็งจะยืนแหกปากร้องเพลงสดุดี เหมือนที่เอ็งเคยยืนร้องบนรถไฟให้ข้าเห็นมาแล้ว…ก็ตามสบาย ข้ารับผิดชอบเอง

ราฟาเอลเร่ จึงได้พบ…พิพิธภัณฑสถานศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (ห้องคณบดีจิตรและประติมากรรม ที่เป็นห้องทำงานของอาจารย์ศิลป์สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่) และชมผลงานต่างๆ ที่ลูกศิษย์ฝีมือเอกๆ ที่เก็บไว้ในห้องนั้น

จากนั้นได้พาไปดูพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมต้นแบบ ซึ่งเก็บรวบรวมการถอดพิมพ์งานประติมากรรมชิ้นสำคัญๆ ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นภาพเหมือนของบุคคลสำคัญ อนุสาวรีย์ เป็นปูนปลาสเตอร์ ซึ่งสามารถชมได้อย่างชิดใกล้ เป็นองค์ความรู้ที่มีคุณค่าต่อการศึกษารูปแบบและวิชาการของประติมากรรมของประเทศไทย

ราฟาเอลเร่ได้รับความรู้เบื้องต้นว่า ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นชาวอิตาเลียน เกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ และสอบได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลไทยให้เข้ามาปฏิบัติงานเพื่อพัฒนางานประติมากรรมไทยสู่ความเป็นสมัยใหม่

พอเข้ามาเห็น ผลงานต้นแบบที่เป็นฝีมือโดยตรงของศาสตราจารย์ศิลป์ และบางชิ้นร่วมทำงานกับลูกศิษย์ของท่าน ราฟาเอลเร่ถึงกับตื่นตะลึงกับสิ่งที่ไม่คิดว่าคนอิตาเลียนที่ชื่อ Corrado Feroci คนที่คนร่วมชาติไม่เคยรู้ว่าท่านมีความสามารถและยิ่งใหญ่ระดับโลก แอบมาอยู่ที่ประเทศไทย จนสร้างผลงานเป็นที่ยอมรับและยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกศิลปะสมัยใหม่ให้ชาติไทยแทนที่จะเป็นอิตาลี

แอบถามเขาขณะที่จะเดินต่อไปจุดสุดท้ายว่า โปรเฟสซอเร่ เฟรอชี่ เป็นอย่างไร เขาไม่พูด ก้มหน้ามองดินเหมือนจะเก็บน้ำตา แต่กำมือที่มีนิ้วหัวแม่มือยกขึ้นเหนือหัว…แทนคำตอบ

ตรงลานที่มีต้นจันทน์ชราภาพ มองเห็นรูปปั้นหล่อทองแดงของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ยืนเป็นอนุสาวรีย์ตระหง่านอยู่ตรงกลางและหันหน้าสู่ทิศตะวันออก

ปกรณ์และราฟาเอลเร่ยืนตรงและโค้งคำนับเป็นการแสดงความคารวะ…

หลังจากนั้นปกรณ์จึงบอกราฟาเอลเร่ว่า ทีนี้ถึงคิวของเอ็งจะต้องร้องเพลงให้อาจารย์ฟังแล้ว และก็มันเป็นเพลงของชาวนาโปลีตาน่าที่เอ็งถนัดด้วย ราฟาเอลเร่ทำท่างง ปกรณ์จึงบอกว่ามีเพลงหนึ่งที่อาจารย์ชอบและพวกข้าเลยร้องเป็นเพลงประจำโรงเรียนไปเลย…Santa Lucia

ด้วยท่าเดิม ยืนตรงยกมือวันทยหัตถ์ แล้วแหกปากร้องอย่างได้อารมณ์

Sul mare luccica, l”astro d”argento

Placida e l”onda, prospero il vento;

Sul mare luccica l”astro d”argento

Placida e l”onda, prospero il vento;

Venite all”agile barchetta mia;

Santa Lucia! Santa Lucia!

Venite all”agile barchetta mia;

Santa Lucia! Santa Lucia!

Con questo zeffiro cosi soave,

O, come e bello star sulla nave.

Con questo zeffiro cosi soave,

O, come e bello star sulla nave.

Su passeggeri, venite via;

Santa Lucia! Santa Lucia!

Su passeggeri,venite via;

Santa Lucia! Santa Lucia!

In” fra le tende bandir la cena,

In una sera cosi serena.

In” fra le tende bandir la cena,

In una sera cosi serena.

Chi non dimanda,chi non desia;

Santa Lucia! Santa Lucia!

Chi non dimanda, chi non desia;

Santa Lucia! Santa Lucia!

Mare si placido, vento si caro,

Scordar fa i triboli al marinaio.

Mare si placido, vento si caro,

Scordar fa i triboli al marinaio.

E va gridando con allegria:

Santa Lucia! Santa Lucia!

E va gridando con allegria:

Santa Lucia! Santa Lucia!

O dolce Napoli, O suol beato,

Ove sorridere volle il creato,

O dolce Napoli, O suol beato,

Ove sorridere volle il creato,

Tu sei l”impero dell”armonia,

Santa Lucia! Santa Lucia!

Tu sei l”impero dell”armonia,

Santa Lucia! Santa Lucia!

Or che tardate? Bella e la sera;

Spira un”auretta fresca e leggiera;

Or che tardate? Bella e la sera;

Spira un”auretta fresca e leggiera;

Venite all”agile barchetta mia;

Santa Lucia! Santa Lucia!

Venite all”agile barchetta mia;

Santa Lucia! Santa Lucia!

เสร็จสมอารมณ์หมายที่ต้องการแล้ว ปกรณ์ก็พาเพื่อนร่วมอะคาเดมีชาวอิตาเลียนไปนั่งกินอาหารที่ “มิ่งหลี” ร้านประจำของชาวศิลปากร และบอกราฟาเอลเร่ว่า ตรงนี้ก็เหมือน James Batista Bar แหล่งชุมนุมของเราในโรม

หลังจากนั้นก็หมดโปรแกรมสำหรับวันนี้ ปกรณ์จึงถามราฟาเอลเร่ว่า จะให้เขาพาไปไหนต่อ…มันยิ้มอายๆ ก่อนเข้ามากระซิบใกล้ๆ

“มีคนเขาบอกว่า ที่เมืองไทย เขามีคนอาบน้ำให้ด้วย…ผู้หญิงซะด้วย”

“มีจริง และมีเยอะด้วย”

“งั้นช่วยพาไปหน่อย”

“ไม่ได้”

“ทำไม”

“มันแพงมาก และเผลอๆ ข้าอาจโดนข้อหาค้ามนุษย์เข้าไปด้วย”

เพื่อตัดความยาวสาวความยืด ปกรณ์ยกมือเรียกรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งผ่านหน้าพระลาน แล้วดันไอ้เพื่อนอิตาเลียนขึ้นรถแล้วสั่งโชเฟอร์ให้ไปส่งที่ถนนข้าวสารโดยเร็ว

“ciao! (หวัดดี)”