ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
ยุทธบทความ | สุรชาติ บำรุงสุข
ข้อคิดการสงครามปัจจุบัน
: ปัจจัยอาวุธและเทคโนโลยี
“ผู้ชนะในการต่อสู้ ไม่ใช่ผู้ที่ทุบทำลาย แต่เป็นผู้ที่ทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยล้า ไม่ใช่เป็นผู้ที่เอาชนะ แต่เป็นผู้ที่ทำให้อีกฝ่ายอ่อนแรงลงต่างหาก”
Giovanni Botero (รัฐบุรุษชาวอิตาลี, 1544-1617)
สงครามทางบกขนาดใหญ่เช่นที่เกิดในยูเครน ทำให้เกิดข้อถกเถียงทางยุทธศาสตร์อย่างน่าสนใจว่า รัฐเล็กจะ “ดำรงสภาพ” ในสงครามได้หรือไม่ เมื่อต้องเผชิญกับการรุกของรัฐมหาอำนาจใหญ่
คำตอบในด้านหนึ่งเป็นปัญหาการนำผนวกเข้ากับขวัญกำลังใจที่เป็น “อำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน” ของฝ่ายยูเครน ได้กลายเป็นพลังอำนาจทางทหารในแบบที่ผู้นำรัสเซียคาดไม่ถึง
และเมื่อตะวันตกตัดสินใจส่งอาวุธให้แล้ว ยูเครนดูจะมีขีดความสามารถในการดำรงสภาพการรบได้มากกว่าที่หลายฝ่ายคิด
อำนาจกำลังรบ
สิ่งที่เป็นอุดมคติที่คู่สงครามต้องการมากที่สุดคือ การมี “อำนาจกำลังรบที่มีตัวตน” ที่ประสานเข้ากับ “อำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน” ได้อย่างเหมาะสมและลงตัว
อันจะทำให้รัฐนั้นสามารถขับเคลื่อนสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์อย่างที่ต้องการ
เนื่องจากสงครามไม่ได้ทำบนฐานความคิดที่เลื่อนลอย แต่กระทำโดยมีความต้องการทางยุทธศาสตร์เป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งความสำเร็จของการ “ยันทางยุทธศาสตร์” ของกองทัพยูเครนกลายเป็นการพิสูจน์สมมุติฐานเช่นนี้ได้เป็นอย่างดี
ความสำเร็จในเบื้องต้นเช่นนี้ตอบสนองโดยตรงต่อเป้าประสงค์ทางยุทธศาสตร์ทหารของยูเครน ที่สามารถหยุดยั้งการขยับแนวรบของกองทัพรัสเซียได้อย่างแท้จริงในสนามรบ และยังสามารถเปิดการรุกกลับได้อีกด้วย
ในทำนองเดียวกันการถอยร่นของกองทัพรัสเซียก็เป็นการพิสูจน์สมมติฐานเช่นนี้ในด้านกลับ
ดังจะเห็นได้ว่ากองทัพรัสเซียมียุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก หากเปรียบเทียบในเชิงปริมาณแล้ว กองทัพรัสเซียใหญ่กว่ากองทัพยูเครนในทุกมิติ
แต่ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียกลับไม่อาจสร้างผลตอบแทนทางยุทธศาสตร์ให้กับประธานาธิบดีปูตินได้เช่นที่หวัง
เนื่องจากกองทัพรัสเซียไม่สามารถมีชัยชนะเด็ดขาดต่อยูเครนได้
และภาวะเช่นนี้ส่งผลให้การรบในยูเครนกลายเป็น “สงครามยืดเยื้อ” อย่างแท้จริง
เพราะรบกันนานกว่า 1 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีฝ่ายใดสามารถที่จะสถาปนาชัยชนะของฝ่ายตนได้เลย
กล่าวคือ เกิดสภาวะที่นักวิชาการด้านการทหารบางส่วนเรียกว่าเป็น “frozen conflict”
เสมือนหนึ่งเป็นสภาวะที่สงครามถูกแช่แข็งให้อยู่ในเวทีโลกไปนานๆ
หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือ สงครามจากนี้ไปจะ “รบหนัก รบยาว รบต่อเนื่อง”
ซึ่งการรบในเงื่อนไขเช่นนี้ทำให้มีความต้องการยุทโธปกรณ์จำนวนมาก และมีระดับของเทคโนโลยีที่สูงกว่า
เทคโนโลยี-แนวคิดการยุทธ์
หลักการสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับสงครามคือ “ทำอย่างไรที่รัฐจะสามารถแปรเปลี่ยนความเหนือกว่าทางเทคโนโลยีในสนามรบไปเป็นชัยชนะทางยุทธศาสตร์?”
เพราะปัจจัยเทคโนโลยีทหารจะต้องทำให้เกิดแนวคิดทางทหารใหม่ อันจะทำให้เกิดความเหนือกว่าเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม
เช่น พัฒนาการของรถถังที่เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นำไปสู่แนวคิดใหม่ของทหารม้า (ที่เริ่มเปลี่ยนผ่านจาก “ม้าเนื้อ” ไปเป็น “ม้าเหล็ก”) คือแนวคิดเรื่อง “สงครามรถถัง” (Tank Warfare และ/หรือ Armored Warfare)
แนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นในกองทัพบกเยอรมนีอันเป็นผลจากพัฒนาการของรถถังและยานเกราะคือ “สงครามสายฟ้าแลบ” (Blitzkrieg Warfare) ในช่วงทศวรรษ 1930 จนต้องถือเป็นต้นทางความคิดของแนวคิดในเรื่อง “สงครามดำเนินกลยุทธ์” (Maneuver Warfare) หรืออาจเรียกในแบบหนึ่งว่าเป็น “สงครามเคลื่อนที่”
อันเป็นการปฏิวัติทางความคิดของการยุทธ์ในสนามที่สำคัญชุดหนึ่งในวงการทหารของโลก อันเป็นผลจากการกำเนิดของยานเกราะและยานยนต์ในทางทหาร ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของหน่วยทหาร ผสมเข้ากับการโจมตีทางอากาศในลักษณะของ “การสนับสนุนทางอากาศ” อย่างใกล้ชิด (Close Air Support : CAS) จนแนวตั้งรับของข้าศึกไม่สามารถต้านทานการบุกโจมตีของกองทัพเยอรมนีได้
ดังตัวอย่างของการยุทธ์ที่เริ่มต้นด้วยการโจมตีของกองทัพเยอรมนีต่อโปแลนด์ในเดือนกันยายน 1939 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 และตามมาด้วยการยุทธ์ในปี 1940 ด้วยการโจมตียุโรปตะวันตก ซึ่งมีฝรั่งเศสเป็นเป้าหมายหลัก
ซึ่งจะเห็นได้ว่ากองทัพเยอรมนีชนะสงครามอย่างรวดเร็ว (และอย่างคาดไม่ถึง ดังจะเห็นได้ว่าปารีสแตกอย่างรวดเร็ว จนอังกฤษตั้งหลักไม่ทัน!)
แม้กองทัพเยอรมนีจะให้กำเนิด “แนวคิดการยุทธ์ในสนามใหม่” และนำไปสู่ชัยชนะอย่างรวดเร็วในช่วงต้นของสงคราม
แต่ในท้ายที่สุดแนวคิดเช่นนี้ไม่สามารถนำไปสู่ชัยชนะในทางยุทธศาสตร์ได้อย่างแท้จริง
เพราะเมื่อสหรัฐตัดสินใจเข้าสู่สงครามเพื่อที่จะปลดปล่อยยุโรปจากการยึดครองของนาซีแล้ว สงครามก็เริ่มเกิดจุดพลิกผัน เนื่องจากสหรัฐมีความเหนือกว่าทั้งทางด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์
และหลังจากการเปิดประตูยุโรปที่ชายหาดนอร์มังดีในเดือนมิถุนายน 1944 กองทัพเยอรมนีเริ่มเป็นฝ่ายถอยร่นในแนวรบด้านตะวันตก และนำไปสู่การพ่ายแพ้สงครามในปี 1945
ถ้าจะสรุปว่ารถถัง ยานเกราะ และอากาศยานที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ของยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพเยอรมนีเป็นผู้ครอบครองนั้น ประสานเข้ากับชุดความคิดทางทหารใหม่ของสงครามสายฟ้าแลบ กลายเป็นปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบทางทหารให้กับฝ่ายเยอรมนีอย่างมาก
แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้กองทัพเยอรมนีสามารถยึดครองพื้นที่ของยุโรปได้ตลอดไป
เพราะเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอีกชุดจากสหรัฐ การยึดครองยุโรปภายใต้อำนาจของกองทัพนาซีก็เริ่มถูกผลักดันออก
ประกอบกับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในแนวรบด้านตะวันออก โดยมีการยุทธ์ที่สตาลินกราดในปี 1942-1943 เป็นหมุดหมายสำคัญ
ชัยชนะทางยุทธวิธีของกองทัพเยอรมนีในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นข้อเตือนใจว่า เมื่อชัยชนะในการรบไม่ได้ถูกแปรเป็นความเหนือกว่าทางยุทธศาสตร์ได้แล้ว อำนาจทางทหารของสหรัฐที่เหนือกว่าจึงเริ่มเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนทิศทางของสงคราม
กล่าวคือ เทคโนโลยีทหารจะสร้างความเหนือกว่าได้อย่างแท้จริงในการกำหนดความเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะในสงครามนั้น
เทคโนโลยีนี้จะต้องไม่ใช่การสร้างเพียง “ความเหนือกว่าชั่วคราว” ในสนามรบเท่านั้น หากจะต้องทำให้รัฐสามารถดำรงสภาพในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หรือเป็นปัจจัยที่ช่วยลดทอนค่าใช้จ่ายมหาศาลที่เกิดจากสงครามนั้นด้วย
ดังนั้น การเน้นแต่การแสวงหาเทคโนโลยีทหารที่เหนือกว่า หรือเทคโนโลยีที่ “เหมาะสม” อันเป็นความหวังในการเพิ่ม “ประสิทธิภาพในสนามรบ” (battlefield effectiveness) นั้น เป็นความจำเป็นในทุกการสงคราม
แต่ก็จะต้องไม่ละเลยการมองปัญหาในระยะยาว เนื่องจากปัญหาในระยะยาวนั้น ไม่ใช่เรื่องของปัจจัยทางเทคโนโลยีแต่เพียงประการเดียว
เทคโนโลยีอย่างเดียวไม่ใช่หลักประกันของความสำเร็จในทางยุทธศาสตร์ หากยังต้องคิดในเรื่องของปัจจัยทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจที่รัฐจะต้องดำรงสภาพในสงครามให้ได้
รัฐที่ละเลยปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจทำสงครามในระยะยาวไม่ได้
รัฐที่ดำรงสภาพในสงครามไม่ได้เนื่องจากความอ่อนล้าที่เกิดขึ้นคือ “ผู้แพ้”
อำนาจในสงคราม
พลังอำนาจทางเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยหลักของการสร้าง “เศรษฐกิจสงคราม” (war economy) ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของรัฐ ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องของอุตสาหกรรมอาวุธ
การใช้เศรษฐกิจภายในเป็นปัจจัยสนับสนุนสงคราม ตลอดรวมถึงการจัดชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทางเศรษฐกิจในภาวะสงคราม อีกทั้งรัฐจะต้องดำรงอยู่ให้ได้ โดยไม่ล้มละลายในยามสงคราม
พร้อมกันนี้รัฐก็จะต้องมีพลังอำนาจทางการเมืองเพื่อที่จะสร้างขวัญกำลังใจของคน และทำหน้าที่ในการระดมสรรพกำลังให้สังคมไม่เพียงสนับสนุนการสงครามของรัฐเท่านั้น หากยังต้องทำให้สังคมเป็นเอกภาพทางความคิดร่วมกันในการต่อสู้กับข้าศึกด้วย
ในเงื่อนไขเช่นนี้ รัฐต้องการขีดความสามารถ 3 ประการในการทำสงครามคือ
1) ขีดความสามารถในการ “ดำรงสภาพ” ของรัฐในยามสงคราม ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รัฐสามารถเดินฝ่าวิกฤตนี้ไปได้
2) ขีดความสามารถในการ “ทำลาย” ฝ่ายตรงข้ามในสนามรบ
และ 3) ขีดความสามารถในการ “ลดทอน” ความเสียหายที่เกิดจากสงคราม
เทคโนโลยีอาจจะเป็นคำตอบในเบื้องต้นของขีดความสามารถทั้ง 3 ประการข้างต้น
กล่าวคือ อำนาจการยิง และ/หรืออำนาจการทำลายของอาวุธสมัยใหม่เป็นปัจจัยในการสร้างความสูญเสียให้กับกองทัพข้าศึกในสนามรบ เช่น อำนาจการยิงของปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้องในยูเครน
นอกจากนี้ ความเสียหายจากอำนาจการยิงของเทคโนโลยีสมัยใหม่อาจจะเป็นการเปิดทางไปสู่ชัยชนะได้ หากอาวุธดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อชีวิตของคนเป็นจำนวนมาก เช่น การใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีฮิโรชิมาและนางาซากิในเดือนสิงหาคม 1945 เป็นต้น
ซึ่งการทำลายเช่นนี้ทำให้รัฐข้าศึกไม่สามารถหากำลังพลทดแทนจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้
ในอีกด้านเทคโนโลยีอาจจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดทอนการสูญเสียชีวิต เช่น การใช้อาวุธยิงระยะไกลที่มีความแม่นยำสูง (long-range precision-guided munitions) ในสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 1991 มีส่วนช่วยในการรักษาชีวิตกำลังพลอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าอัตราการสูญเสียของกองทัพอเมริกันอยู่ในระดับต่ำ
อีกทั้งเทคโนโลยีเช่นนี้ยังช่วยให้ค่าใช้จ่ายในสงครามไม่สูงมาก ดังเช่นการโจมตีเป้าหมายข้าศึกด้วย “ระเบิดฉลาด” (smart bomb) ช่วยลดการใช้ระเบิดจำนวนมากในแบบสงครามโลก หรือสงครามเวียดนาม
ปัญหาปัจจุบัน
ความคาดหวังว่าสงครามสมัยใหม่ที่ใช้อาวุธสมรรถนะสูงจะนองเลือดน้อยลง จะรบสั้นลง และจะใช้จ่ายน้อยลงนั้น อาจจะไม่เป็นจริงเท่าใดนักในบริบทของยูเครน
ผลจากการที่กองทัพรัสเซียไม่สามารถเอาชนะได้ในช่วงแรกของสงคราม และกองทัพยูเครนประสบความสำเร็จในการยันการรุกของรัสเซีย พร้อมกับการเทความช่วยเหลือของตะวันตกให้แก่ยูเครน
สงครามจึงมีภาวะของการเป็น “Attrition Warfare” ที่เป็นการรบหนัก รบยาว และรบต่อเนื่อง หรือเป็น “สงครามตามแบบที่ยืดเยื้อ”
ภาวะเช่นนี้ทำให้การดำรงสภาพของรัฐในสงครามเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด รัสเซียอาจจะได้เปรียบในความเป็นรัฐใหญ่ที่มีทรัพยากรมาก
แต่ยูเครนก็ได้เปรียบที่มีพันธมิตรในวงกว้างและได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง
สงครามนับจากนี้คือการต่อสู้ระหว่าง “เจตจำนงของมนุษย์” (human will) ในฐานะของความเป็นคู่สงคราม
ดังนั้น สงครามในสภาพเช่นนี้จึงเป็นการกัดกร่อนและบ่อนเซาะให้สังคมพังทลายลง
และผู้ชนะคือผู้ที่ทำให้อีกฝ่ายอ่อนล้าจนหมดความสามารถในการดำรงสภาพการรบ!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022