ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
เผยแพร่ |
การเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) ครั้งที่ 25 ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ถือเป็นครั้งที่สองแล้วที่เวียดนามรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ
ภารกิจต้อนรับบรรดาผู้นำระดับโลกนี้ เหน็ดเหนื่อย สิ้นเปลืองยิ่ง แต่ก็เป็นโอกาสดีที่หายากยิ่งเช่นกันในการ “ทำแต้ม” ทางการทูต
เอเปคหนนี้ยิ่งถูกจับตามองอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นหนแรกของ “โดนัลด์ ทรัมป์” บนเวที “พหุภาคี” เพื่อดูว่าผู้นำอเมริกันยังคงรักษาท่าที “มองย้อนสู่ภายใน” สวนกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศหลายคนตีตราว่าเปรียบเสมือนการ “เลิกราสถานะผู้นำโลก” เหมือนอย่างที่ประกาศไว้หรือไม่
สุดท้าย ในเวทีอย่างเอเปค ทรัมป์ก็ยังเป็นทรัมป์ อย่างน้อยที่สุดก็ตอกย้ำแนวทาง “อเมริกาเฟิร์สต์” ด้วยการส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่ยอมให้ใครฉกฉวย เอารัดเอาเปรียบสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป
หลายประเทศที่เป็นหรือเคยเป็น “หุ้นส่วน” ของอเมริกาคาดหวังมากกว่านั้น อย่างน้อยก็ในสภาวะที่อิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีนเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคในยามนี้
ท่วงทำนอง “โปรเท็กชั่นนิสต์” ของทรัมป์ กลายเป็นเครื่องหมายคำถามสำหรับเวียดนาม
เวียดนามไม่เพียงเคยเป็นคู่สงครามชายแดนกับจีน ยังถือเป็นคู่ขัดแย้งสำคัญที่สุด แข็งกร้าวที่สุดในกรณีอ้างสิทธิทับซ้อนซึ่งกันและกันในทะเลจีนใต้ ย่อมไม่อาจเริงระบำไปตามจังหวะดนตรีแห่งปักกิ่งเต็มที่ จนหลุดเข้าไปอยู่ใต้อิทธิพลจีนเต็มตัวได้
ได้แต่หันไปเต้นตามจังหวะก้าวย่างทางการทูตจากวอชิงตัน อย่างน้อยที่สุดเพื่อสร้างภาวะสมดุลของอำนาจให้ตัวเองได้มีโอกาสมีช่องได้หายใจ
มองอย่างผิวเผิน เวียดนามแทบไม่ได้รับสิ่งใดจากการประชุมสุดยอดเอเปคครั้งที่ 25 กระนั้นนักวิชาการถี่ถ้วนบางคนกลับยอมรับและชื่นชมต่อเหลี่ยมคูทางการทูตจากทางการฮานอย
เวียดนามจัดการจนได้ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นแขกของรัฐบาล พบหารือทวิภาคีกันที่ฮานอยหลังเสร็จสิ้นการประชุมเอเปคที่ดานัง
การแถลงร่วมระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดี เจิ่น ด่าย กวาง แล้วเสร็จเพียงไม่กี่นาที เครื่องบินของ สี จิ้น ผิง ก็ลงแตะรันเวย์ท่าอากาศยานฮานอยอีกคน
เวียดนามได้คำรับประกันอีกครั้งถึงการที่สหรัฐอเมริกายังคงบทบาทเป็น “หลักประกัน” เสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้จากทรัมป์ ในเวลาเดียวกันก็สามารถแถลงร่วมกับจีนตอกย้ำเป้าหมายร่วมในอันจะดำรงความเป็น “เพื่อนบ้านที่มั่นคงและสันติ” ร่วมกัน
ทางด้านเศรษฐกิจ เวียดนามได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการเยือนของทรัมป์ เป็นความตกลงด้านเครื่องยนต์และบริการเกี่ยวกับการบินและพลังงานมูลค่าสูงถึง 12,000 ล้านดอลลาร์
สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ระหว่างเอเปคหนนี้ มีการ “ปัดฝุ่น” ความตกลง “ทีพีพี” ที่เหมือนจะ “ตาย” ไปแล้ว หยิบยกขึ้นมาให้มีชีวิตอีกครั้งในชื่อใหม่ “ความตกลงก้าวหน้าเบ็ดเสร็จเพื่อหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เอเชียแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี)” โดยไม่มีสหรัฐอเมริกา
แต่มีเวียดนามเป็นหนึ่งใน 11 ประเทศภาคี
ในด้านความมั่นคงบนเวทีเอเปค ฝ่ายอเมริกันยังเสนอ “เวทีเจรจาด้านกลาโหมสี่ชาติ (คิวดีดี)” ที่ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่นและอินเดีย ที่เวียดนามให้ความสนใจอย่างแรงกล้า เพราะสามารถใช้เป็นหลังพิง ต้านอิทธิพลทางทหารของจีนได้เป็นอย่างดี
การบรรลุถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงเป็นเรื่องหนึ่ง ความท้าทายอย่างยิ่งก็คือ ทำอย่างไรถึงจะดำรงดุลยภาพนี้ให้ต่อเนื่องและยังประโยชน์ต่อไปได้
ไม่ให้ต้อง “เดินตามอเมริกา” ทุกย่างก้าวในอนาคต
นั่นเป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่ถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าเวียดนามใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ ทำ “แต้ม” ทางการทูตได้สูงมากแล้ว!