33 ปี ชีวิตสีกากี (12) | ตร.จำนวนมากคะแนนยอดเยี่ยม แต่สอบตกอุดมคติตำรวจ

เริ่มต้นสัมผัสชีวิตสีกากี

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

แหล่งที่ฝึกฝนให้เป็นสุภาพบุรุษแห่งสามพราน

เป็นสุภาพบุรุษทั้งกายและใจ

ให้สมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยความรู้ คุณธรรม จิตใจที่กล้าหาญ แกร่งทั้งกาย ใจ และปัญญา

เพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน

มิใช่เป็นดั่งโจรในเครื่องแบบ

 

31 พฤษภาคม 2521

เป็นวันที่เด็กหนุ่ม 240 ชีวิต จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก ในชุดเครื่องแต่งกายเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีกากี รองเท้าคัตชูสีดำ พร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้ประจำตัว มารวมตัวกันพร้อมเพรียง ณ กรมตำรวจ ปทุมวัน กรุงเทพฯ เพื่อเดินทางไปยังโรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม

จากนี้ทุกคนจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อศึกษาหาความรู้ในวิชาชีพที่ทุกคนเลือก

ฝึกร่วมกันให้เข้าใจลึกซึ้งในศาสตร์วิชาที่จะต้องพัฒนาตนเองให้พร้อมเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชนและประเทศชาติ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และพร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อสังคมที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ

การฝึกทั้งทางวิชาการ ทั้งร่างกาย และจิตใจ ตลอด 4 ปี จึงเป็นห้วงระยะเวลาของทุกคนที่รออยู่ ณ อาณาจักรแห่งสามพราน

ไม่ว่าจากโรงเรียนเตรียมทหาร 60 คน

จากบุคคลที่เป็นตำรวจมาก่อน 60 คน และจาก ม.ศ.5 อีก 120 คน รวมทั้งหมด 240 คน

มาหลอมรวมกันเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 35 ซึ่งรุ่นผมไม่มีโควต้าจากจังหวัดชายแดนภาคใต้

 

วันนั้น ร.ต.อ.มาโนช ไกรวงศ์ ผู้บังคับกองร้อยที่ 1 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พร้อมด้วยผู้บังคับหมวด 3 นาย คือ ร.ต.ท.สมนึก เขียวเจริญ ร.ต.ท.เกียรติศักดิ์ วรงค์ศิลป์ และ ร.ต.ท.อุดม จำปาจันทร์ ได้มารอรับเด็กหนุ่มจำนวนดังกล่าวที่จะเป็นนักเรียนใหม่ แห่งกองร้อยที่ 1 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และยังมีผู้ช่วยผู้บังคับหมวด กองร้อยที่ 1 ซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ชั้นปีที่ 4 ที่ได้รับการคัดเลือก ให้มาทำหน้าที่เป็นนักเรียนปกครอง เพื่อปกครองบังคับบัญชานักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 1

ดังนั้น จึงถือเป็นตัวแทนรุ่นพี่ปีที่ 4 (นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 32) เดินทางมารับนักเรียนใหม่ถึงกรมตำรวจ

เมื่อขั้นตอนการตรวจรายชื่อ และเช็กยอดครบจำนวนแล้ว การเดินทางโดยรถบัสเป็นขบวนขนาดใหญ่ นำชีวิตนักเรียนใหม่ เพื่อเริ่มต้นสู่การเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงเริ่มออกเดินทาง

สำหรับตัวผมเองนั้น มันเป็นความตื่นเต้น ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า มีอะไรรออยู่ ทั้งท้าทาย และตื่นเต้นกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของผมและเพื่อนๆ

 

แล้วขบวนของนักเรียนใหม่ก็เดินทางมาถึงโรงเรียนนายร้อยตำรวจ โดยได้เปิดประตูคิงส์ ประตูใหญ่ด้านหน้า ต้อนรับการเดินทางมาของนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 35

ปกติประตูคิงส์ จะเปิดเฉพาะเวลาสำคัญๆ เท่านั้น เช่น การรับเสด็จ ต้อนรับประมุขของประเทศ หรือบุคคลสำคัญ

ที่ประตูคิงส์ มีคำจารึกอุดมคติตำรวจ โดยก่อนจะเข้าสู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ นักเรียนใหม่จะต้องกล่าวอุดมคติตำรวจเป็นสัมผัสแรกเมื่อเดินทางมาถึง ณ สถานที่แห่งนี้

เมื่อทุกคนต้องเปล่งเสียงครั้งแรกกล่าวอุดมคติตำรวจพร้อมๆ กัน เป็นดั่งคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง ต่อเทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ต่อประเทศชาติ และประชาชนทั้งประเทศ ว่าต่อจากนี้ทุกคนจะยึดมั่นในสิ่งที่กล่าวออกมา เพื่อเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตามที่ประชาชนคาดหวัง เป็นดั่งตำรวจที่ดีในอุดมคติ

ทุกโสตประสาทสัมผัสของผม ได้ตระหนักและรับรู้เป็นครั้งแรกแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าของผม ถือเป็นหมุดหมายของผม จวบจนทุกวันนี้

ผมยังท่องอุดมคตินั้นได้ขึ้นใจ และจำได้ทุกถ้อยคำตัวอักษร

“เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่

กรุณาปรานีต่อประชาชน

อดทนต่อความเจ็บใจ

ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก

ไม่มักมากในลาภผล

มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

ดำรงตนในยุติธรรม

กระทำการด้วยปัญญา

รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต”

ทุกตัวอักษรและถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นประโยคอย่างไพเราะสวยงาม มีคุณค่า และเป็นมาตรฐานพื้นฐานที่ทุกคนพึงนำไปปฏิบัติ ยึดถือเป็นสิ่งสำคัญจนโรงเรียนนายร้อยตำรวจต้องนำมาจารึกไว้ที่ประตูคิงส์หน้าโรงเรียน

และทุกคนต้องกล่าวเป็นครั้งแรก ก่อนจะผ่านเข้าไปใช้ชีวิตในโรงเรียนแห่งนี้

สถาบันแห่งนี้ จะมีเกียรติยศและเกียรติศักดิ์ ให้คนทั่วไปให้ความชื่นชม และยอมรับ ย่อมเกิดจากบุคคลที่ได้ศึกษา ณ สถาบันแห่งนี้ ทั้งศิษย์เก่าและปัจจุบัน ได้ประพฤติและปฏิบัติตามอุดมคติตำรวจจนทุกถิ่นที่ศิษย์ทั้งหลายได้ไปทำหน้าที่ มีความสุขและวัฒนาจนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทุกแดนดิน และย่อมจะยิ่งทำให้สถาบันแห่งนี้เป็นสถาบันที่มีเกียรติขจรขจายไปทั่ว

ในทางตรงข้าม หากศิษย์ทั้งหลาย เมินเฉยต่ออุดมคติตำรวจ ยอมหันหลังให้กับประตูคิงส์ นั่นคือ การทำลายเกียรติยศและเกียรติศักดิ์ของสถาบันแห่งนี้ ประชาชนจะดูถูก เหยียดหยามลบหลู่เกียรติ

และเวลานี้มีความแน่ชัดมากเหลือเกินว่า ประชาชนหมิ่นแคลนสถาบันและวิชาชีพนี้มาเนิ่นนานแล้ว

เสมือนหนึ่ง สนิมเกิดแต่เนื้อในตน เพราะการกระทำของศิษย์ทั้งหลายนั่นเอง

 

สิ่งที่ประจักษ์กับตัวผมมาตลอดชีวิตการเป็นตำรวจ พบเจอทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องจำนวนมากมายที่มีสมองปราดเปรื่องสอบได้คะแนนยอดเยี่ยม เป็นผู้นำที่ดีเมื่อเวลาเรียน เวลาฝึก

แต่สอบตกในเรื่องอุดมคติตำรวจ

เพราะตลอด 4 ปีเมื่ออยู่ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ต้องท่องอุดมคติตำรวจทุกค่ำคืน แต่กลับไม่ซึมซับเข้าไปในอณูของร่างกายและจิตใจ

กลับประพฤติและปฏิบัติตรงข้ามกับอุดมคติตำรวจแทบทุกข้อ

หลายคนนอกจากไม่สร้างสิ่งที่ดี ไม่มีความกล้าหาญที่จะทำตามที่โรงเรียนมีความมุ่งหวังและปรารถนา ทั้งยังทำลายองค์กรและวิชาชีพอย่างถึงที่สุด

บางคนก้าวไปถึงผู้นำสูงสุดของตำรวจ หรือไปทำหน้าที่อื่น ก็หาได้ตระหนักในอุดมคติตำรวจ ซึ่งก็คือพื้นฐานธรรมดาของมนุษย์ ที่ตนเองได้เคยท่องบ่นทุกเช้าค่ำไม่

ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญอันเด็ดเดี่ยวที่พึงกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชนเลย

ผมยืนยันได้ว่าวินาทีแรกที่สัมผัสโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จนถึงวินาทีสุดท้าย ที่เดินออกจากสถาบันนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่สถาบันแห่งนี้ จะอบรมบ่มเพาะให้ศิษย์ทั้งหลายเป็นคนเลวปฏิบัติชั่ว

ถ้าจะกล่าวให้ถึงแก่น ก็น่าจะเป็นเพราะความชั่วที่ฝังอยู่ในกมลสันดานของศิษย์นั้นๆ เฉพาะตัวเสียมากกว่า

บางทีก็อาจจะมาจากเทือกเถาเหล่ากอการอบรมหล่อหลอมของครอบครัวของพ่อแม่ก็อาจเป็นได้

จนมีคำติดปาก พ่อแม่ไม่สั่งสอน หรือพ่อแม่เป็นเสียเอง ลูกจึงเป็นแบบนี้

แค่เพียง 4 ปีในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จึงไม่มากพอที่จะสามารถขัดเกลาฝึกฝนให้สะอาดได้

 

ผมควรจะยืดอกด้วยความภาคภูมิใจที่ผมสำเร็จการศึกษาจากสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้

แต่กลับต้องมาห่อเหี่ยวจนบางที ยังไม่กล้าจะบอกว่าผมจบมาจากที่ไหน

เสมือนปลาในฆ้องเดียวกัน เน่าเสียตัวหนึ่ง มันก็เน่าหมดทั้งฆ้อง

ยิ่งทุกวันนี้ทั้งคนเก่ง คนไม่เก่ง หันหลังให้กับประตูคิงส์และเมินเฉยกับอุดมคติตำรวจ

ถ้าไม่เชื่อว่าเป็นจริง ลองไปท่องเที่ยวในโซเชียลมีเดีย ที่มีการพูดถึงตำรวจ แล้วจะรู้ว่า นรกจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร หรือแม้แต่ตามหน้าสื่อก็มีคอลัมน์ชำแหละตำรวจให้อ่านกันแทบทุกวัน