ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | วิช่วลคัลเจอร์ |
เผยแพร่ |
วิช่วลคัลเจอร์
ประชา สุวีรานนท์
Gutenberg Galaxy : ตัวพิมพ์กับการอ่าน (2)
มักจะคิดกันว่า การอ่านในใจหรือการอ่านเงียบๆ คนเดียว อยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ แต่จริงๆ แล้วเพิ่งจะสร้างหรือเกิดขึ้นไม่กี่ร้อยปีมานี้
การศึกษาเรื่องพฤติกรรมการอ่านในยุคโบราณมีหลายแนว ในขณะที่แม็กลูแฮนบอกว่า การอ่านแบบใหม่ ซึ่งเน้น “วัฒนธรรมสายตา” เกิดขึ้นในยุคสื่อสิ่งพิมพ์ พอล แซงเกอร์ ผู้เขียน Space Between Words : The Origins of Silent Reading (1982) ไม่ได้ให้เครดิตกับการพิมพ์มากนัก เขาบอกว่า การสร้างมาตรฐาน ไวยากรณ์ และกฎเกณฑ์การเขียนต่างหากที่ทำให้การอ่านมีความแน่นอน พูดอีกอย่าง การอ่านในใจเกิดก่อนการพิมพ์
ถ้าแบ่งตามสื่อ ประวัติศาสตร์การอ่านจะมี 4 ยุคคือ ยุคสื่อปากเปล่า ยุคสื่อลายมือ ยุคสื่อสิ่งพิมพ์ และยุคสื่ออิเล็กทรอนิกส์
แซงเกอร์มองว่า แรกสุด มนุษย์อยู่ในยุคหรือวัฒนธรรมปากเปล่า เมื่อเข้าสู่ยุคต่อมา คือ ยุคสื่อลายมือ หรือเห็นเป็นภาพแล้ว เขาถามว่าทำไมตัวเขียนยังเป็นแบบถ่ายเสียง (the phonetic alphabet) หรือทำไมเสียงยังสำคัญกว่าภาพ คำตอบก็คือ เพราะสะท้อนวัฒนธรรมปากเปล่า ซึ่งไม่มีการแยกคำ
ในยุคต่อมา การแยกคำมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะในระบบอักษรแบบภาพของอียิปต์ หรืออักษรที่ถ่ายเสียงของภาษาอื่น ซึ่งในตอนแรก อาจไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความจำเป็นหรือไม่ตั้งใจ ว่ากันว่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ชาวโรมันต้องการสื่อสารกับชนพื้นเมืองในไอร์แลนด์ จึงมีการแยกคําภาษาละตินเพื่อที่จะอ่านออกเสียงได้ถูกต้อง
ในยุคโรมัน การอ่านออกเสียงถูกยกย่องว่าสำคัญ ส่วนเอกสารก็มีไว้เพียงเพื่อช่วยจำเท่านั้น เขาเน้นการพูดในที่สาธารณะ (oration) มาก จะเป็นผู้นำศาสนาหรือปัญญาชนก็ต้องพูดแบบนี้ได้ ส่วนการอ่านในใจเป็นเรื่องที่ทำกันเฉพาะในหมู่คนกลุ่มเล็กๆ หรือไม่เปิดเผยกัน ที่สำคัญ การเขียนสมัยนั้นไม่เหมาะ เพราะไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน ไม่แยกตัวนำ/ตัวตาม และแยกคํา
และต้องไม่ลืมว่า ยุคนั้นไม่ได้มีความแตกต่างระหว่างความเป็นผู้เขียนกับผู้อ่านมากนัก คนหนึ่งมักมีสองด้าน และแต่ละด้านมีเสรีที่จะดัดแปลงเนื้อหาได้เท่ากัน ส่วนผู้อ่าน ซึ่งเป็นแบบอ่านในใจก็ไม่มี มีแต่ผู้ฟังเท่านั้น
แซงเกอร์พูดถึงปัจจัยที่สองคือการแปลภาษา ซึ่งต้องเข้าใจว่าหลังจากที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย ยุโรปรับเอางานด้านปรัชญา ดาราศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์มาจากอาหรับ เพราะหนังสือภาษาละตินแปลจากกรีก ซึ่งมาจากการแปลภาษาอาหรับอีกที อาหรับใช้การแยกคําและอักษรพิเศษเพื่อบอกจุดเริ่มหรือจบของประโยคมานานแล้ว การแปลภาษาของเขาจึงต้องมีการแยกคํา ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่นักแปลในสเปนยึดถือ และต่อมา แพร่ออกไปยังดินแดนอื่น เช่น ฝรั่งเศสและเยอรมนี
นอกจากนั้น การแยกคํายังให้กำเนิดการคัดลอกอย่างเงียบๆ ด้วย ก่อนหน้านั้น การคัดลอกคือการจดตามบอกของพระเจ้าหรืออาจารย์ และถูกกำหนดด้วยความกว้างของหน้ากระดาษ เช่น บรรทัดหนึ่งจะมีอักษร 10-15 ตัว ต่อมา การแยกคำช่วยให้คนคัดลอกได้ทำงานเงียบๆ ซึ่งทั้งง่ายกว่าและเร็วกว่า
วาทกรรมเรื่องความเงียบก็ชัดเจนขึ้น เห็นได้จากการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในวัด ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 10 การอ่านและเขียนเป็นกิจกรรมที่ไม่เงียบ หรือใช้เสียงไม่น้อยกว่าการสารภาพบาปและสวดมนต์ ระเบียบการปลีกวิเวกของพระหมายถึงห้ามการเปล่งคำที่ไม่ได้มาจากคัมภีร์หรือไม่ได้อ่าน แต่ต่อมาไม่นาน ความเงียบจึงหมายถึงเงียบจริงๆ
นอกจากนั้น ยังทำให้การออกแบบสถานที่หรือห้องสมุดเปลี่ยนไป carrel หรือกุฏิสำหรับการคัดลอกพระคัมภีร์ ซึ่งแม็กลูแฮนเรียกว่า a singing booth มีไว้เพื่อให้พระอ่านออกเสียง ส่วนการอ้างอิงหนังสืออื่นก็ไม่จำเป็นเลย เพราะการอ่านออกเสียงใช้การจําอยู่แล้ว
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ห้องสมุดกลายเป็นศูนย์กลางของตึก และมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ยาว (ซึ่งแปลว่านั่งได้หลายคน) และตะเกียง การบริการของห้องสมุดก็เปลี่ยนไปเช่นให้ช่วงการขอยืมหนังสือนานขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ หนังสือถูกล่ามโซ่ไว้กับโต๊ะหรือตู้ เพื่อจะได้อยู่ในห้องสมุดเสมอหรือไม่ถูกขโมยไปง่ายๆ นอกจากนั้น ยังมีผลต่อเล็กเชอร์ของพระอาจารย์ในวัด จากคริสต์ศตวรรษที่ 13 ผู้สอนจะถือว่านักเรียนทุกคนมีหนังสือและสามารถอ่านพร้อมกับฟังเล็กเชอร์ได้
สำหรับแซงเกอร์ การแยกคำหรือเครื่องหมายวรรคตอน จึงสมควรเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญเท่ากับเครื่องพิมพ์ของกูเต็นแบร์ก
อย่างไรก็ตาม ที่ว่าการอ่านในใจเป็นผลของการพิมพ์ก็ยังมีน้ำหนัก ปลายศตวรรษที่ 15 การอ่านแบบนี้เจริญขึ้นด้วยการพิมพ์ ตำราไวยากรณ์ พจนานุกรม ภาษากรีกและละติน และหลักภาษาถูกพิมพ์ออกมามากและก่อให้เกิดการขยายตัวด้านการอ่าน
ใน The Gutenberg Galaxy แม็กลูแฮนสรุปว่า ยุคการพิมพ์มีการเปลี่ยนแปลงจากการอ่านด้วยหูไปสู่อ่านด้วยตา และบอกว่า “มนุษย์รู้จักการแลกเปลี่ยนความคิดด้วยการอ่านในใจ”
และต่อมา เมื่อการพิมพ์ทำให้หนังสือมีราคาถูกลง การอ่านออกเขียนได้ขยายตัว และการจะเป็นเจ้าของหนังสือเล่มหนึ่งและเอามาอ่านคนเดียวเป็นเรื่องธรรมดา พรมแดนของการอ่านสองวิธีนี้จึงค่อยๆ ถูกทำลาย
ในที่สุด การอ่านในใจก็กลายเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์