ร้าวรานสลาย | เรื่องสั้น : วษิธิกานต์

เรื่องสั้น | วษิธิกานต์

ร้าวรานสลาย

 

ตั้งใจจะเล่าเรื่องของความสุขยาวๆ โดยเริ่มต้นว่า…

ความสุขของความสุข คือได้เห็นความสุขปรากฏตัวทั่วทุกแห่งหน

แต่ฤดีดาวกลับพบว่าเรื่องจบบริบูรณ์เพียงแค่นั้น การขยายความมีแต่จะเยิ่นเย้อ เพราะการกล่าวถึงความสุขมันสั้นกระชับ และง่ายๆ แค่นั้นเอง

ช่างต่างกับเรื่องราวอื่นตลอดสิบปี ที่อาจเล่าได้ยืดยาวไม่รู้จักคำว่าจบ กับสิ่งที่คิดว่าคือความสุข

แต่ไม่ใช่

 

ปีที่สิบ

สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดเป็นอมตะ ความสำเร็จเป็นเพียงมายาชั่วขณะ และโลกนี้ไม่มีคำว่าเบอร์หนึ่งหรือเบอร์ใดๆ

ทุกอย่างเป็นหนึ่งในตัวเอง

การเปรียบเทียบคือบัญชาแห่งซาตาน เพราะเมื่อเปรียบเทียบย่อมไม่อยากอยู่ฝั่งต่ำชั้น จากนั้นความคิดจะวิปลาสและนำพาชีวิตไปสู่หลุมสีเทาดำที่มีประกายแก้วแพรวพราวหลอนอยู่เบื้องลึกที่ไม่มีวันลงไปถึง

และยามหายนะมาเยือน เสียงโอดครวญ ร่ำร้อง พร่ำโทษจึงเป็นเรื่องขบขันที่แฝงอยู่ในคำปลอบประโลมปลอมๆ พร้อมฝ่ามือเปื้อนโคลนที่ยื่นมาช่วยเช็ดน้ำตา

ฤดีดาวยังเข้าใจอีกด้วยว่าความพ่ายแพ้อยู่วงศ์เดียวกับชัยชนะแค่ต่างฐานันดร และโดยพลันเธอยอมปล่อยสิ่งทั้งปวงให้หลุดพ้น

จนที่สุดศาลได้ปรานีต่อความจำเป็นในการดำรงชีวิตที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ซึ่งมีอีกความหมายว่าอื่นใดที่นอกเหนือจากความจำเป็นในการดำรงชีวิต เธอจะออดอ้อนวอนขอความเข้าใจไม่ได้เช่นกัน

ผลก็คือลมหายใจไม่ต้องล้มละลายตาม

 

ปีที่แปด

การยินยอมหย่าทำให้ไม่ต้องไปเชือดเฉือนกันในศาลตามคำขู่ของสามี ที่ว่าถ้าเธอไม่ยอมเซ็นแต่โดยดีเขาก็ไม่มีทางเลือก

แต่ศาลไม่น่ากลัวเท่าสื่อ แม้จะเชื่อว่าเขาคงไม่ทำร้ายกันถึงเพียงนั้นแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรท้าทาย การยินยอมหย่าจึงดีต่อทุกฝ่ายโดยเฉพาะตัวเธอเอง ที่ไม่อาจยอมให้ภาพสวยงามของสตรีผู้มีครอบครัวอบอุ่นต้องพังพินาศ

อีกข้อดีคือเธอกับลูกยังคงกอดกันได้หากเธอจัดสรรเวลาลงตัว เพราะลูกจะไม่ถูกพรากไปอยู่ในที่อันห่างไกล เพื่อให้พ้นจากแม่ที่มองแต่ทางข้างหน้า แม่ที่ไม่เคยเหลียวมองหลัง ตามคำกล่าวหาของเขาในค่ำคืนหนึ่งที่ความอดทนเกินขีดจำกัด

ไม่เคยเหลียวมองหลัง

ช่างรุนแรง

แต่จริง

 

ปีที่หก

คฤหาสน์ถูกล้อมด้วยหลากหลายความรวดร้าว หนึ่งในนั้นคือความไม่เข้าใจกัน และนับวันยิ่งขยายพื้นที่กว้างขึ้น

ฤดีดาวเพิ่งรู้สึกว่าความห่างเหินทำหน้าที่อย่างเต็มภาคภูมิ เมื่อมันทำให้เธอกับสามีต้องแยกห้องนอนด้วยความไม่เต็มใจของเธอ

แต่ทุกความรวดร้าวเสนอหน้าอยู่ได้แค่สมองชั้นนอก เธอไม่อาจนำมันเข้าไปรกอยู่ในสมองชั้นในได้ เพราะที่นั่นเต็มไปด้วยเรื่องที่สำคัญกว่า

สุดท้ายเธอจึงปล่อยให้เรื่องไม่สำคัญค่อยๆ ระเหยไปเอง จนกระทั่งหายไปหมดเพียงคืนที่สองของการแยกห้องนอน

เธอแอบหวังว่าการนอนคนเดียว คงทำให้เขามีเวลาตรึกตรองเพื่อเข้าใจสิ่งที่เธอทำมากขึ้น จนสำนึกได้ว่าการขอแยกห้องนอนที่เป็นรูปลักษณ์หนึ่งของครอบครัวล้มเหลว ไม่ส่งผลดีต่อใครเลย

เขาบอกว่าลูกไม่รู้เรื่องพ่อแม่แยกห้องนอน เธอแอบข้องใจว่าลูกไม่รู้หรือลูกไม่รับรู้กันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าดี เธอจะได้ไม่ต้องสรรหาเวลาและพยายามประดิดประดอยถ้อยคำเพื่อปลอบโยนลูกแบบผิดๆ ด้วยการเจตนาสร้างภาพลวงให้ลูกเชื่อว่าความรักระหว่างพ่อกับแม่ยังปกติสุข

 

ปีที่สี่

ทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากันแต่บริหารจัดการต่างกัน ฤดีดาวเชื่อสนิทใจว่าเวลาคือสิ่งล้ำค่า หนึ่งนาทีมีค่า หนึ่งชั่วโมงยิ่งกว่านั้น ทุกหนึ่งวันจึงควรใช้ให้คุ้ม

เธอเข้าใจดีว่าคำว่าคุ้มของแต่ละคนแตกต่างกัน เธอจึงไม่เคยตำหนิสามีที่ทำงานวันละแปดชั่วโมงแล้วรีบกลับบ้านไปอยู่กับลูกที่กลับจากโรงเรียน ทั้งที่ลูกมีเครื่องบรรณาการความสะดวกสบายแก่ชีวิตอย่างเพียบพร้อมทั้งบริวารและวัตถุ

เขามีสิทธิ์ เธอยอมรับที่เขาเลือกไม่ใช้เวลาเพิ่มมูลค่าและคุณค่าให้ชีวิต ทั้งๆ ที่เขามีความสามารถทำได้ ขณะเธอคิดว่าแปดชั่วโมงเพียงพอแค่กับการทำงานไปวันๆ เธอจึงมอบเวลาเพิ่มอีกหกชั่วโมงที่ไม่ตายตัวว่าจะเป็นช่วงเวลาใด

และเรื่องนี้เขากับลูกควรยื่นความเข้าใจให้เธอเอง

ไม่ใช่ต้องให้เธอร้องขอ

 

ปีที่สอง

โลกสอนให้รู้ว่าโอกาสมีค่ากว่าทองคำจากทุกห้องนิรภัยรวมกัน เพราะโอกาสทำให้เป็นเจ้าของภูเขาทองคำได้ แต่ถึงอย่างนั้นยอดภูเขาทองคำก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของฤดีดาว

เป้าหมายแรกคือเมฆก้อนใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือภูเขาทองคำ มันคือเมฆก้อนแรกที่จะพาเธอไต่ไปหาเมฆทีละก้อน จนถึงดินแดนแห่งฤดีดาวเหมือนชื่อเธอ

ฤดีดาวรู้ เธอไม่อาจสร้างและพัฒนาโอกาสได้ด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งไม่ปฏิเสธว่าทุกสิ่งมีราคาที่ต้องจ่าย โลกนี้อะไรหรือที่ได้โดยไม่เสีย และในเมื่อเธอไม่มีเวทมนตร์เสกให้ตัวเองลอยขึ้นไปสู่จุดหมายได้ เธอจึงยินดีจ่ายตลอดเส้นทางที่ไต่

เวลาคือสิ่งที่ต้องจ่าย

ชีวิตส่วนตัวก็ด้วย

รวมทั้งความงามของเธอ

ทำไมจะไม่รู้ว่าถูกหมายปองแม้ทุกคนรู้ว่าสถานะของเธอคือสมรส เธอห้ามความชั่วร้ายของใครไม่ได้ แต่ร่วมทางและรับความเกื้อหนุนได้ด้วยความฉลาดเฉพาะตัว พร้อมไหวพริบที่ดีในการเอื้อมรับมือที่ยื่นลงมาเพื่อช่วยดึงเธอขึ้นไป ขณะเดียวกันเบื้องล่างก็มีอีกมือคอยประคองไว้

ความชั่วร้ายของใครก็ของมัน เธอไม่มีอำนาจตัดสิน ไม่ต้องการตัดสิน เธอไม่ใช่เจ้าของโลก และโลกทั้งใบก็ใหญ่เกินความต้องการ

ทุกคืนเธอจะกล่าวสรรเสริญวิจารณญาณที่คอยอยู่เคียงข้างไม่ห่างหาย และวิจารณญาณยังบอกเธออีกด้วย

ว่าการใช้ความชั่วร้ายของผู้อื่นเป็นเครื่องมือ

ไม่ใช่ความชั่วร้าย

 

ปีที่หนึ่ง

การทำตัวเป็นแก้วที่น้ำไม่มีวันเต็มไม่ใช่ความลับของโลก รูรั่วของแก้วต่างหากที่ควรพรางไว้ ฤดีดาวจึงสำแดงตนให้ทุกคนได้เห็นถึงความพร้อมที่จะเรียนรู้โดยไร้ข้อแม้ทั้งมวล และปราศจากเงื่อนไขทั้งปวง

เธอทำให้โลกรู้ว่าสถานะครอบครัวไม่ใช่อุปสรรคและโลกก็รับรู้ตามนั้น การพิจารณาส่งเธอไปปฏิบัติการ เรียนรู้งานบริหาร การฝึกฝนชั้นสูง ตลอดจนทุกกระบวนยุทธ์ในการเป็นเบอร์หนึ่งจึงราบรื่น โดยไม่เกี่ยงความถี่และระยะเวลา รวมถึงสถานที่ไม่ว่าใกล้หรือไกลไปอีกกี่ขอบฟ้า

สายตามนุษย์ที่ตวัดมองไม่มีผลต่อความรู้สึก ความเคลือบแคลงจากการจ้องจับผิดของสังคมไม่หนักแน่นไปกว่าความทะยานอยากที่แสนแกร่ง เหตุเพราะเธอมักไม่ได้เดินทางคนเดียว และเป็นปกติที่ผู้ร่วมทางเป็นเพศตรงข้าม

เรื่องนี้เธอแค่บอกสามีให้รับทราบ พร้อมเสริมว่าถ้ามีสิ่งใดบัญชาให้ผู้ร่วมทางที่ทรงอำนาจในการงานเป็นเพศเดียวกับเธอได้ ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เขาพยักหน้า

เธอกอดเขาแทนคำขอบคุณสำหรับการพยักหน้า

ที่ไม่ได้แปลว่าเห็นดีด้วย

เธอรู้

 

ณ ปัจจุบัน…

ฤดีดาวหลับตา

พลันความมืดปกคลุมโลก

แต่เพียงหรี่ตาความสว่างก็ปรากฏ

นั่น ยอดหญ้าบนเนินเขาต่ำเตี้ยลู่ลมพลิ้ว เธอเชื่อว่ามันมีความสุขเท่ายอดหญ้าบนภูสูง และพอเงยหน้าเบิกตากว้างเธอก็เห็นเมฆหลายรูปทรงเคลื่อนตัวเอื่อยเฉื่อย

เธอคิดว่าเมฆกำลังเย็นสบายกับสายลมโชยเบา

เหมือนเธอตอนนี้

เกือบทุกอย่างล่มสลาย เหลือตัวเองเพียงหนึ่ง แต่ก็เพียงพอกับความต้องการของสองคนสองอ้อมแขนที่แสนอุ่น

ฤดีดาวยอมรับความผิดพลาดต่อสามีและลูก เธอขอบคุณที่เขากล่าวโทษเพื่อยกโทษ คำว่าไม่เป็นไรมันเหมือนเธอไม่ได้ทำอะไรผิด หรือไม่ก็เหมือนเขาไม่ถือสา เธอรับไม่ไหวกับคำว่าไม่เป็นไร เพราะมันยิ่งทิ่มตำความร้ายของเธอให้ฝังแน่น

เธอรู้ สิ่งที่เขามอบให้ช่างแสนสามัญ อ้อมกอดก็ใช่ ความรักก็ใช่ รอมยิ้มก็ใช่ มากกว่านี้คือเกินจำเป็น ขณะกอดเขาบอกเธอว่าความฝันเป็นสิ่งดี การพยายามพาตัวเองไปสู่ฝันก็เป็นสิ่งดี

และการได้เธอกลับมาคือความฝันของเขา

ฤดีดาวคอยเวลาที่สามีรับลูกกลับบ้าน คืนนี้มื้อค่ำจะต้องพิเศษเพื่อฉลองให้กับความเปลี่ยนแปลง หลังจากเธอกับเขาเห็นตรงกันว่าจะให้ลูกออกจากโรงเรียนประจำมาอยู่บ้าน โดยมีเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวเต็มตัว ส่วนเธอเป็นแม่บ้านเต็มเวลา

เธอซาบซึ้งใจอย่างไม่อาจสาธยายได้ครบถ้วนในวันที่เขาขอเธอแต่งงานอีกครั้ง และลูกขอมีส่วนร่วมด้วยการเลือกวันเกิดตัวเองเป็นวันที่พ่อกับแม่จดทะเบียนสมรสใหม่

พอทุกคนเห็นดีเห็นงามตามนั้น

พลันความสุขก็ปรากฏตัวทั่วทุกหนแห่ง •