คนมองหนัง : บทวิจารณ์แรกต่อ “มา ณ ที่นี้” หนังยาวเรื่องที่สอง – งานฝีมือ “ชั้นหนึ่ง” ของ “ปราบดา”

คนมองหนัง

ปิดฉากลงไปแล้ว สำหรับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียวประจำปี 2017

ถึงแม้ “มา ณ ที่นี้” (Someone from Nowhere) ผลงานหนังยาวลำดับที่สองของนักเขียนดัง “ปราบดา หยุ่น” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องเดียวที่ถูกคัดเลือกเข้าฉายในสายประกวดประจำปีนี้ จะไม่ได้รับรางวัลใดๆ จากสาย “เอเชี่ยนฟิวเจอร์” ติดไม้ติดมือกลับมา

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีบทวิจารณ์จากสื่อต่างชาติที่เขียนถึง “มา ณ ที่นี้” ด้วยน้ำเสียงตอบรับ ซึ่งนับว่าดีเลยทีเดียว

“ริชาร์ด ไคเปอร์ส” แห่ง variety.com เขียนถึงภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้เอาไว้ว่า หนังจัดวางตัวละครหลักสองคน โดยตั้งต้นจากเหตุการณ์ที่มีบุคคลแปลกหน้าบุกเข้ามาเยือน “บ้าน” ของตัวละครนำรายหนึ่ง ในวิถีทางแบบภาพยนตร์แนวธริลเลอร์

ก่อนสถานการณ์จะค่อยๆ ทวีความตึงเครียด และบางครั้ง ยังพลิกผันไปสู่การถกเถียงถึงวาทกรรมว่าด้วยอัตลักษณ์, ความทรงจำ และการอยู่รอด ผ่านการนำเสนอเรื่องราวในรูปแบบเหนือจริง

ไคเปอร์สทำนายว่า หนังเรื่องนี้น่าจะมีหนทางสดใสในเทศกาลภาพยนตร์และโรงหนังอาร์ตเฮ้าส์ต่างๆ

เนื้อหาเกือบทั้งหมดของ “มา ณ ที่นี้” เกิดขึ้นภายในอพาร์ตเมนต์ห้องหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่สมมุติชื่อ “ลิเบอร์ตี้ แลนด์ คอมเพล็กซ์”

นานๆ ครั้ง กล้องจึงจะจับภาพไปยังโลกภายนอกห้องพัก ซึ่งดูเผินๆ เหมือนจะมีแต่เหตุการณ์สามัญปกติทั่วไป อันไม่เกี่ยวข้องประการใดกับเนื้อหาหลักในภาพยนตร์ แต่ภาพเหล่านี้จะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น หลังจากเงื่อนปมต่างๆ ในหนังถูกคลี่คลายออกมา

หนังยาวลำดับที่สองของปราบดาเล่าเรื่องราวของหญิงสาววัย 20 กว่าๆ ที่ตื่นเช้ามาพบว่ามีชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บนอนสลบอยู่หน้าห้องพักของเธอ อย่างไรก็ดี เมื่อพาชายคนดังกล่าวเข้ามาพักฟื้นในห้อง เขากลับคุกคามเธอด้วยการอ้างสิทธิ์ว่าตนเองคือเจ้าของที่แท้จริงของอพาร์ตเมนต์ห้องนี้

ยิ่งหญิงสาวพยายามจะนำเอาหลักฐานเอกสารมายืนยันความเป็นเจ้าของห้องพัก สถานการณ์แปลกประหลาดก็ยิ่งบังเกิดขึ้น และทุกอย่างดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมบงการของชายหนุ่มแปลกหน้ามากขึ้นทุกทีๆ

นักวิจารณ์ต่างชาติคนเดิมระบุว่า หนังที่ใช้ตัวละครนำแค่สองคนเป็นผู้เดินเรื่องนั้น มักต้องการการแสดงที่ยอดเยี่ยมมารองรับ และสองนักแสดงนำของ “มา ณ ที่นี้” คือ “ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช” และ “พีรพล กิจรื่นภิรมย์สุข” ก็สามารถทำหน้าที่ของพวกตนได้ดี ภายใต้การกำกับที่เหมาะเจาะแม่นยำของปราบดา

นอกจากนี้ หนังยังถูกเสริมส่งด้วยการกำกับภาพอันลื่นไหลของ “ก้อง พาหุรักษ์” และงานดนตรีประกอบอันเยี่ยมยอดของ “จิติวี บาลไธสง”

ซึ่งถือเป็นอีกสองจุดเด่นของภาพยนตร์ที่ถูกประกอบสร้างขึ้นจากงานฝีมือ “ชั้นหนึ่ง” เรื่องนี้