วัดชั้นเชิง ‘บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่’ ชิงเก้าอี้นายกฯ ‘บิ๊กอ๊อด’ รีเทิร์น

วัดชั้นเชิง ‘บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่’ ชิงเก้าอี้นายกฯ ‘บิ๊กอ๊อด’ รีเทิร์น จับตา ผบ.ทบ.คอแดง ใน 1 ทศวรรษ ‘ต่อ-ปู-กอล์ฟ-ด้วง-เอิร์ธ’

 

แม้จะมีน้องๆ อดีตบิ๊กทหาร มาช่วยงานรอบตัว ทั้งงานในฐานะรองนายกฯ และงานการเมือง แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ยังเสริมทัพ ด้วยการดึง บิ๊กอ๊อด พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 1 น้องรัก มาช่วยงาน

โดยมีภาพปรากฏเคียงข้าง พล.อ.ประวิตร ในการลงพื้นที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ปรากฏตัวเคียงข้าง พล.อ.ประวิตรมานาน แม้จะมีตำแหน่งอยู่ในคณะกรรมการมูลนิธิป่ารอยต่อฯ แต่ก็ไม่ค่อยปรากฏตัว

แต่ครั้งนี้ พล.อ.คณิต มาทำหน้าที่แทน บิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พปชร. ที่ติดภารกิจในภาคเหนือ พล.อ.คณิตซึ่งเป็นรุ่นน้อง ตท.13 ที่สนิทสนมกันมายาวนาน ก็มาทำหน้าที่แทน

เพราะปกติ พล.อ.ประวิตรจะมอบหมายให้ พล.อ.คณิตช่วยงานกีฬา และทำงานร่วมกับ พล.อ.วิชญ์ ที่เป็นเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคฯ และบอร์ดการกีฬาฯ ที่ พล.อ.ประวิตรเป็นประธาน

สาเหตุหนึ่งที่เป็นที่รู้กันในแวดวงป่ารอยต่อฯ เพราะ พล.อ.คณิตไม่ต้องการจะมาข้องแวะ พบเจอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เพราะรอยแผลในใจจากอดีต เมื่อครั้งอยู่ในกองทัพ

จาก ผบ.พล.ร.2 รอ. พล.อ.คณิตก็ขึ้นสู่เส้นทางเหล็ก เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ จากสายทหารเสือฯ ที่เป็นรุ่นติดกัน ตท.12 และในเวลานั้นมี พล.อ.ประวิตร พี่เลิฟ เป็น รมว.กลาโหม ที่คอยหนุนเนื่องน้องๆ ในสายบูรพาพยัคฆ์

แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์การเมือง เกิดม็อบคนเสื้อแดง ในปี 2552-2553 พล.อ.คณิตกลับถูกโยกย้ายพ้นเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 ที่ถือว่าคุมกำลังสำคัญ และเป็นเก้าอี้ที่จะก้าวขึ้นเป็น 5 เสือ ทบ. และเป็น ผบ.ทบ.ในอนาคต

โดยมีการเปิดตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ที่เป็นอัตราเฉพาะตัว ยันเกษียณราชการ

ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า พล.อ.อนุพงษ์ ผบ.ทบ. ในเวลานั้น และ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงการสลายม็อบคนเสื้อแดง ที่ผู้บังคับบัญชาต้องการให้ใช้ความเด็ดขาด แต่ พล.อ.คณิตไม่ยอมปฏิบัติตาม ไม่ยอมสั่งการให้ใช้ความรุนแรง ทำให้ บิ๊กโชย พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ. ในเวลานั้น ต้องรับศึกหนักแทน

แต่ทว่า เรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีใครยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะคนที่เกี่ยวข้องล้วนปฏิเสธที่จะพูดถึง

ในห้วงเวลานั้น พล.อ.คณิต กับ พล.อ.วิชญ์มีหัวอกเดียวกัน คือ แม้มีโอกาสเข้าไลน์ ชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. แต่ก็ไม่อาจสู้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ เพราะมี พล.อ.อนุพงษ์สนับสนุน

แม้ว่า พล.อ.ประวิตรจะพยายามเจรจาต่อรองให้ พล.อ.วิชญ์ ที่ตอนนั้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ก่อน 1 ปี เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เป็นรุ่นน้อง ตท.12 แถมมีอายุราชการเหลือถึง 4 ปี

แต่ทว่า พล.อ.อนุพงษ์ก็ยืนกรานให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อจากตนเองยาว 4 ปีเลย ไม่ให้ใครมาแชร์อำนาจด้วย

พล.อ.ประวิตร, พล.อ.คณิต สาพิทักษ์

จะเห็นได้ว่า นายทหารทีมงานใกล้ตัว พล.อ.ประวิตรมักจะเป็นคนที่มีปัญหาคาใจกับ พล.อ.ประยุทธ์เป็นส่วนใหญ่

แต่ พล.อ.ประวิตรก็พยายามบริหารจัดหาร ไม่ให้น้องๆ ขัดแย้งกัน กระนั้น พล.อ.ประวิตรก็ช่วยอะไรทั้ง พล.อ.คณิต และ พล.อ.วิชญ์ ไม่ได้ เพราะ พล.อ.อนุพงษ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ สายตรงคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ในเวลานั้น จนถึงขั้นที่ พล.อ.ประวิตรไม่สามารถเจรจาต่อรองอะไรได้มากนัก

การปรากฏตัวของ พล.อ.คณิตเป็นจังหวะที่ พล.อ.ประวิตรประกาศนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง และอาจจับมือกับพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้ง ในขณะที่คนเสื้อแดงเริ่มตั้งแง่กับ พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ

ในขณะที่ภาพลักษณ์ของ พล.อ.คณิตน้องรักบิ๊กป้อม ถือเป็นนายทหารสายพิราบ ที่ไม่ใช้ความรุนแรง แม้จะต้องถูกลงโทษ ด้วยการถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 1 และหลุดไลน์เส้นทางอำนาจใน ทบ.ไปเลย

พล.อ.คณิต สาพิทักษ์

ในขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตรก็โหมสร้างภาพลักษณ์ตนเอง จากจดหมายฉบับต่างๆ ให้เป็นทหารประชาธิปไตย ไม่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร เพื่อสะท้อน และตอกย้ำว่า การเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติของ พล.อ.ประยุทธ์ และมีบางกลุ่มในฝ่ายอนุรักษนิยม ที่เป็นแบ็กอัพ แผงหลังให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงมีแนวทางในการสนับสนุนการรัฐประหาร

ราวกับต้องการทำให้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยหวาดกลัวการรัฐประหาร แล้วต้องจับมือกับ พล.อ.ประวิตร เพื่อป้องกันการถูกรัฐประหาร เพราะ พล.อ.ประวิตรก็มีคอนเน็กชั่นกับกองทัพ ที่จะคานพลังของกลุ่มอนุรักษนิยมได้

จึงไม่แปลกที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตรเดินสายพูดคุยกับแกนนำหลายพรรคแม้ต่างขั้วอย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคเสรีรวมไทย และพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย เสมือนจะโดดเดี่ยวพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงขั้นที่ พล.อ.ประวิตรเคยหลุดปากว่า ให้ไปเป็นฝ่ายค้าน

แต่ทว่า ด้วยความเป็นพี่ใหญ่ ที่เคยเป็นพี่ชายที่แสนดี พล.อ.ประวิตรก็ถูกสังคมรอบข้างบีบและจับตามองว่าในที่สุดจะกลับมาช่วย พล.อ.ประยุทธ์ตั้งรัฐบาลร่วมกันหรือไม่

แต่ก็มีรายงานว่า เมื่อครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าไปลา พล.อ.ประวิตร ที่บ้านป่ารอยต่อฯ ก่อนที่จะตัดสินใจไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาตินั้น มีข้อตกลงกันว่าถ้า พรรคใครได้ ส.ส.มากกว่า คนนั้นก็เป็นนายกฯ เพราะหากพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.มากกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประวิตรก็จะเป็นนายกฯ เอง

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์สื่อบางสำนัก ที่เมื่อถามว่าหากพรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ ส.ส.น้อยกว่า แล้วจะขอให้ พล.อ.ประวิตรสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบทันทีว่าไม่ได้

โดยเฉพาะในเวลานี้ พล.อ.ประวิตรเตรียมตัวที่จะเป็นนายกฯ ไม่ว่าจะสูตรอำนาจไหน ทั้งการจับมือกับพรรคเพื่อไทย หรือเป็นแกนนำในการจับขั้วใหม่ ผสมทุกพรรคทุกขั้ว และการจับมือกับ รทสช. และพรรคร่วมรัฐบาลเดิม และดูที่ตัวเลข ส.ส.ที่แต่ละพรรคได้ ว่าใครจะเป็นนายกฯ

ขณะที่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ก็มั่นใจว่าด้วยกองหนุนที่มี และกองหนุนพิเศษที่แบ็กอัพอยู่ จะทำให้ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัยไม่ว่าจะได้ ส.ส.กี่คน เพียงแต่ต้องมากกว่า 25 คนเท่านั้นพอ

แต่เชื่อว่าในที่สุด พล.อ.ประวิตรก็ต้องยอม

พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์- พล.อ.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง

ดังนั้น สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องทำให้ได้ในเวลานี้คือ ต้องทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ ส.ส.มากกว่า 25 คน และให้มากกว่าพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร และไม่ห่างจากพรรคภูมิใจไทยมากนัก

จึงไม่แปลกที่กองทัพซึ่งถือเป็นองค์กรหลักของฝ่ายอนุรักษนิยมจะถูกจับตามองถึงความเป็นกลางทางการเมือง และการเทคะแนนให้กับพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจที่จะส่งผลกระทบต่อการจัดวางทายาทในกองทัพ

ดังนั้น เมื่อหันมามองกองทัพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่รออยู่เบื้องหน้า ทั้งการเลือกตั้ง ทั้งรัฐบาลใหม่ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และ รมว.กลาโหมคนใหม่ ที่จะมีขึ้นในช่วงที่จะมีการโยกย้ายใหญ่พอดี จะต้องมีการแต่งตั้งทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. คนใหม่ พร้อมๆ กัน

แน่นอนว่า ผบ.เหล่าทัพชุดปัจจุบันไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจรัฐบาล เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อกองทัพ เช่นเดียวกับนายทหารที่เป็นแคนดิเดต ผบ.เหล่าทัพ ที่จะขึ้นมาคุมอำนาจแผงใหม่ ก็ล้วนคิดไม่ต่างกัน โดยที่ไม่ต้องมีการสั่งการให้เลือกใคร

ทหารส่วนใหญ่ที่เป็นระดับนายทหาร ที่จบจากเตรียมทหาร และนายร้อยเหล่าทัพ ต่างก็ต้องเลือกพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ หรืออย่างน้อยก็พรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร

พล.อ.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง

แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ คนที่จะเป็น ผบ.ทหารสูงสุด และโดยเฉพาะ ผบ.ทบ. ที่หากเป็นสถานการณ์ปกติก็คาดว่า บิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รอง ผบ.ทหารสูงสุด จะขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุด คอแดงคนที่ 2 ต่อจากบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ที่จะเกษียณ

และบิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รอง ผบ.ทบ. สายทหารเสือราชินี สายตรง พล.อ.ประยุทธ์ จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่

แต่หากสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล เปลี่ยนนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย แต่เป็น พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ โอกาสของ พล.อ.เจริญชัย และบิ๊กโต พล.อ.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง ผช.ผบ.ทบ. สายบูรพาพยัคฆ์ อาจมีโอกาสเท่าๆ กัน

หาก พล.อ.เจริญชัยพลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก็อาจข้ามไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ก่อน พล.อ.ทรงวิทย์ รุ่นน้อง ตท.24 ที่เกษียณ 2568

แต่ทั้ง พล.อ.เจริญชัย และ พล.อ.สุขสรรค์ เป็นเพื่อน ตท.23 ด้วยกัน เกษียณกันยายน 2567 พร้อมกัน

ดังนั้น จึงมีการวางทายาท ผบ.ทบ.แบบระยะยาวกันไว้ก่อน

พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ

จากการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ชั้นนายพล กลางปี ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อ 10 มีนาคม 2566 นั้น ดูจะเป็นการทิ้งทวนของบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่จะเกษียณราชการ 30 กันยายนนี้ หลังจากนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.มานานเกือบ 3 ปี เพราะมีการวางตัวนายทหารที่จะขึ้นมาคุมกำลังใน ทบ.ในระยะยาว

เพราะถือเป็นเซอร์ไพรส์ของโผนี้ เป็นเรื่องฮือฮาที่สุดใน ทบ. เมื่อ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ซึ่งเป็นทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ขยับ ผบ.กอล์ฟ พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ ที่เพิ่งเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ.ได้แค่ 6 เดือน ขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เข้าไลน์ ชิงแม่ทัพภาคที่ 1 โยกย้ายกันยายนนี้

จากเดิมที่มีรองไก่ พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 1 เพื่อนร่วมรุ่น ตท.28 ของ พล.ต.สราวุธเป็นตัวเต็งของรุ่นอยู่แล้ว ชิงกับรุ่นพี่ ตท.27 รองใหญ่ พล.ต.อมฤต บุญสุยา รองแม่ทัพภาคที่ 1 ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นของ ตท.27 และ ตท.28

แต่โผนี้อาจจะทำให้เป็นการสู้กันเอง ระหว่าง ตท.28 ด้วย เมื่อ พล.ต.สราวุธได้ไฟเขียว ให้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 จากเดิมที่คาดกันว่าจะขยับเข้าไลน์ ในโยกย้ายตุลาคม 2566 นี้

จึงทำให้ถูกจับตามองว่า จะมาแบบฟาสต์แทร็ก เช่นเดียวกับ บิ๊กปู พล.ท.พนา แคล้วปลอดทุกข์ แม่ทัพภาคที่ 1 หรือไม่

เพราะ พล.ท.พนา แม่ทัพภาคที่ 1 คนปัจจุบัน จาก ผบ.พล.ร.11 ขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่เป็น ตท.26 รุ่นสุดท้อง ใน 3 รองแม่ทัพ ที่เป็นรุ่นพี่ ตท.24 แต่ที่สุดก็มีคำสั่งให้ พล.ต.พนา ในขณะนั้น ไปฝึกหลักสูตรทหารคอแดง 3 เดือน แล้วออกมาก็ขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 เลย จนถูกมองว่าจะเป็น ผบ.ทบ.ในอนาคตอีกด้วย โดยมีอายุราชการถึงตุลาคม 2570

หากมองย้อนกลับไป จะคล้ายๆ พล.อ.ณรงค์พันธ์เช่นกัน เพราะเมื่อครั้งที่เป็น ผบ.พล.1 รอ. หน่วยทหารคอแดง ก็มีกระแสข่าวสะพัดว่า คนนี้มาแรง จากนั้นขึ้น รองแม่ทัพภาคที่ 1 และขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 แบบที่ทุกคนต้องหลบให้เลยทีเดียว ก่อนฉลุยขึ้น 5 เสือ และเป็น ผบ.ทบ.นานถึง 3 ปี

ดังนั้น พล.ต.สราวุธ ที่ขึ้นมาจ่อเช่นนี้ ก็ย่อมสะท้อนได้ว่าสัญญาณแรง เพราะเพิ่งจบการฝึกหลักสูตรทหารคอแดงออกมาได้ไม่กี่วัน ก็ขยับขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เลย

พล.ท.พนา แคล้วปลอดทุกข์

พล.ต.สราวุธเคยอยู่ ร.1 รอ. สายวงศ์เทวัญ และอยู่ ร.31 รอ. และไปเติบโตที่ พล.ร.9 และ พล.ร.11 ก่อนที่จะมาเป็นนายพล ตำแหน่ง ผบ.มทบ.11

กล่าวกันว่า ในตำแหน่งนี้ที่ต้องไปเดินข้างนายกรัฐมนตรี และแขกต่างประเทศในการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ที่ทำเนียบรัฐบาล ทำให้ความสง่างาม ลักษณะทหารดี เข้าตากรรมการ

อีกทั้งเป็นนายทหารที่ครบเครื่องในการทำงาน ทั้งงานชายแดน และดูแลลูกน้อง ครอบครัวกำลังพล เพื่อนฝูง และเพื่อนต่างวิชาชีพ จึงทำให้มีกองหนุนเยอะ จนผลงานเข้าตา พล.อ.ณรงค์พันธ์ และ พล.ท.พนา แม่ทัพภาคที่ 1 อีกด้วย

แต่การขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เทียบคู่กับ พล.ต.วรยส เพื่อน ตท.28 ก็ถูกจับตามองว่า ใครจะถึงฝั่งฝัน ใครจะเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และขึ้น ผบ.ทบ. เพราะ พล.ต.วรยสเกษียณ 2571 สามารถขึ้นตำแหน่งก่อนได้ จากนั้น พล.ต.สราวุธ ที่เกษียณ 2573 จึงขึ้นมารับไม้ต่อได้

แต่ทว่า กลับมีข่าวสะพัดใน บก.ทบ.ว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์เล็ง พล.ต.สราวุธไว้ เพราะต้องการให้ทำงานหลายปีต่อเนื่อง เพราะจาก พล.ท.พนาเกษียณ 2570 หาก พล.ต.วรยสเป็น ผบ.ทบ.ต่อ จะนั่งได้แค่ปีเดียว ก็เกษียณ 2571 แล้ว

แต่ พล.ต.สราวุธ สามารถขึ้นมาต่อได้เลยเพราะจะเป็น ผบ.ทบ.ได้ถึง 2573 ยาว 3 ปี เช่นเดียวกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่รู้ซึ้งดี เพราะขนาดเป็น ผบ.ทบ. 3 ปี ยังมีอะไรอีกมากมายที่ยังทำไม่สำเร็จ

และที่สำคัญกว่านั้น มีการวางตัวให้ พล.ต.สราวุธนั่งแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี จึงค่อยขยับขึ้น 5 เสือ ทบ. เพื่อที่จะได้มีเวลาทำงานให้ต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมา แม่ทัพภาคที่ 1 มักเป็นกันแค่ปีเดียวก็ขึ้น 5 เสือ ทบ. แล้วไปชิง ผบ.ทบ.

แต่ในยุคที่มี ฉก.ทม.รอ.904 หน่วยทหารคอแดงของ ทบ. ที่ต้องประสานงานกับ ทม.รอ. แล้ว มีภารกิจมากมายที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมา แม่ทัพภาคที่ 1 มักจะทำหน้าที่เสนาธิการ ฉก.ทม.รอ.904

โดยเฉพาะในยุคของ พล.อ.สุขสรรค์ ที่เมื่อขยับขึ้น ผช.ผบ.ทบ.แล้วยังได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ เสธ.ฉก.ทม.รอ.904 ต่อเนื่อง เพราะ พล.ท.พนาเพิ่งขึ้นมาจากทหารคอเขียว

แต่อย่างไรก็ตาม ในบรรดา 3 รองแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ไม่มีใครยอมใคร ทั้ง พล.ต.วรยส หรือ พล.ต.อมฤต ทุกคนยังมีโอกาส โดยเฉพาะ พล.ต.อมฤต คือน้องรักสายทหารเสือฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์

พลตรี สราวุธ ไชยสิทธิ์

แต่ที่ต้องจับตา คือการที่มีการดันรองเทพ พ.อ.เทพพิทักษ์ นิมิตร รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. ขึ้นเป็นพลตรี ผบ.พล.ร.2 รอ. แทน พล.ต.สราวุธ ที่ก็ถือว่ามาแรงใน ตท.31 สายบูรพาพยัคฆ์

เพราะต้องมีการมองข้ามช็อตเลยว่า มีการเล็งๆ คนที่จะเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.ต.สราวุธ ที่เกษียณ 2573 เอาไว้แล้ว เพราะจาก ตท.28 จะข้ามไปเตรียมทหารรุ่น 31 เลย

ที่เวลานี้ มองไปที่รอง ผบ.พล.1 รอ. ที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.พล.1 รอ. ในโยกย้ายตุลาคมนี้ เพราะ ผบ.แอ้ม พล.ต.ณัฐเดช จันทรางศุ แกนนำ ตท.28 อีกคน จะต้องขยับขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1

พ.อ.อินทนนท์ รัตนกาฬ

ระหว่างรองลาภ พ.อ.สิทธิพร จุลปานะ รอง ผบ.พล.1 รอ. เตรียมทหาร 30 กับรองด้วง พ.อ.ยอดอาวุธ พึ่งพักตร์ รอง ผบ.พล.1 รอ. อีกคน จาก ตท.31 ที่คาดว่า พ.อ.ยอดอาวุธจะมาแรงกว่า เพราะเป็นสายวงศ์เทวัญ ที่เติบโตมาจากทั้ง ร.11 รอ. และ ร.31 รอ. และเป็นน้องรักคนหนึ่งของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. และปัจจุบันเป็นรองเลขาธิการ สนว.

แต่ทว่า เมื่อเติบโตไป พ.อ.ยอดอาวุธ สายวงศ์เทวัญคอแดง จะต้องไปแข่งกับสายรบพิเศษคอแดงอย่างผู้การเอิร์ธ พ.อ.อินทนนท์ รัตนกาฬ รอง ผบ.พล.รบพิเศษที่ 1 เพื่อน ตท.31 เช่นกัน

เป็นที่รู้กันดีในกองทัพบกว่า พ.อ.อินทนนท์ ถูกทำนายทายทักมาตั้งแต่เป็นร้อยเอก ว่าโตขึ้นอาจจะเป็น ผบ.ทบ.ในสายรบพิเศษ เพราะถือว่าความสามารถโดดเด่น และเคยเป็นนายทหารคนสนิทบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี มายาวนานด้วย และเวลานี้ ก็ถือว่าเติบโตมาในเส้นทางเหล็กของสายรบพิเศษ เคยเป็น ผบ.กรมปฏิบัติการพิเศษ ผบ.ฉก.90 หน่วยล่าสังหาร และ ผบ.กรมรบพิเศษที่ 3 รักษาพระองค์

แต่ พ.อ.ยอดอาวุธ เกษียณก่อน ในปี 2574 ส่วน พ.อ.อินทนนท์ เกษียณ 2575 ที่ก็อาจจะขึ้นอยู่กันว่า จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เป็นกันคนละปี หรือ พ.อ.อินทนนท์จะ เป็น 2 ปีเลย โดยตามเส้นทางแล้ว พ.อ.ยอดอาวุธจะโตไปในสายวงศ์เทวัญคอแดง จาก ผบ.พล.1 รอ. สู่แม่ทัพภาคที่ 1 และ 5 เสือ ทบ.ในอนาคต

ขณะที่ พ.อ.อินทนนท์จะเข้าไลน์ ผบ.พล.รบพิเศษที่ 1 ตามลำดับจนขึ้น ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) สู่ 5 เสือ ทบ. ที่จะไปชิงกันที่นั่น

พ.อ.ยอดอาวุธ พึ่งพักตร์

ดังนั้น กองทัพบกจึงมีการวางตัวนายทหารที่จะขึ้นมาดูแลกองทัพ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง และปกป้องสถาบัน ในระยะยาวเป็น 10 ปีกันเลยทีเดียว และ ผบ.ทบ. ยังคงต้องเป็นทหารคอแดงไปจนตราบนั้น เพราะนายทหารคอแดงระดับนายร้อย นายพัน ก็ค่อยๆ เติบโตกันขึ้นมาเป็นคอแดงแบบไม่ต้องไปฝึกตอนเป็นนายพลกันอีกแล้ว

และเป็นระบบ และโครงสร้าง ที่ไม่เปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซงได้ง่ายๆ แต่ทว่า จะยังคงมีการเมืองในกองทัพระคนอยู่ตราบนั้น