ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มีนาคม 2566 |
---|---|
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/
เลือกตั้งเพื่อทวงคืนประเทศสู่ประชาชน
เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วที่รังสิมันต์ โรม พูดถึงปัญหาความเน่าเฟะ กรณีถอนหมายจับ ส.ว.ที่พัวพันกับการฟอกเงินและค้ายา ยิ่งกว่านั้นคือการเปิดโปงว่ามีบางฝ่ายโจมตีตำรวจที่ออกหมายจับ ส.ว.ว่าทำกับบุคคลสำคัญอย่างไม่เหมาะสม ถึงขั้นจะล้มอำนาจนิติบัญญัติของประเทศ
โดยปกติคนไทยถูกสอนให้เชื่อว่าฝ่ายตุลาการพิจารณาคดีโดยอิสระ, ยึดหลักกฎหมาย และมีความยุติธรรม แต่รังสิมันต์ตีแผ่ว่าในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างที่พูด เพราะ ส.ส.ยืนยันตรงกับ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ผู้ทำคดีนี้ระบุว่ามีการสั่งให้ถอนหมายจับ ส.ว.
คงต้องเถียงกันอีกยาวว่ากรณีนี้ทำถูกหรือผิดที่ถอนหมายจับ ส.ว.ซึ่งเชื่อมโยงกับคดีการฟอกเงินและการค้ายา แต่ที่ไม่มีใครเถียงได้แก่คดีนี้ถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจในและนอกกระบวนการยุติธรรม จึงไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าการพิจารณาคดีนี้อย่างอิสระและเป็นธรรม
คนไทยถูกทำให้เชื่อว่าการพิจารณาในฝ่ายตุลาการไม่ลำเอียง และความแน่วแน่ในการทำให้คนไทยเชื่อแบบนี้ก็มีมากถึงขั้นใครพูดว่าไม่เชื่ออาจเจอข้อหาหมิ่นจนติดคุกได้
แต่การถอนหมายจับแล้วตำหนิตำรวจว่า ส.ว.เป็นบุคคลสำคัญจนจับไม่ได้นั้น ถูกมองว่าเอียงจนไม่เหลือความตรงแน่นอน
การแทรกแซงแบบนี้ขัดอุดมคติที่กระบวนการยุติธรรมไทยยัดเยียดให้ประชาชนเชื่อเป๊ะเลย และเป็นการขัดในแบบที่ใครฟังก็รู้สึกได้ว่าบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมอยู่ใต้อำนาจที่อยู่นอกฝ่ายตุลาการอย่างตำรวจและ ส.ว. ซ้ำอำนาจนี้ยังเชื่อมโยงสู่อำนาจการเมืองของคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งคุมตำรวจและเป็นคนตั้ง ส.ว.
ด้วยการถอนหมายจับ ส.ว. และเรียกตำรวจไปตำหนิว่าทำกับบุคคลสำคัญแบบนี้ไม่ได้ ผลก็คือทำให้ตำรวจไม่สามารถนำตัว ส.ว.เข้าสู่กระบวนการสอบสวนในข้อหาอุกฉกรรจ์ได้ตั้งแต่ต้น การดำเนินคดีจึงเกิดขึ้นไม่ได้ เช่นเดียวกับการตรวจสอบและวินิจฉัยความผิดก็ทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ความเป็นอิสระของผู้พิพากษาคือหลักประกันว่าผู้พิพากษาจะตัดสินคดีตามหลักกฎหมายและความเป็นธรรม สัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมในสังคมตะวันตกจึงได้เทพีเธมิสที่มือซ้ายชูตราชั่งซึ่งไม่เอียงไว้เหนือหัวเสมอ ขณะที่มือขวาถือดาบห้อยลงสู่พื้น และดวงตาทั้งสองมีผ้าปิดตา
ดาบคือสัญลักษณ์ของการลงโทษถึงขั้นใช้อำนาจประหารชีวิต ตราชั่งคือสัญลักษณ์ของศาลซึ่งสถิตด้วยความยุติธรรม ส่วนการปิดตาคือสัญลักษณ์ว่าผู้พิพากษาต้องตัดสินคดีโดยไม่คำนึงว่าใครเป็นใคร หรือเท่ากับต้องวินิจฉัยและลงโทษโดยยึดความยุติธรรมยิ่งกว่าใบสั่งว่าใครคือพวกเดียวกัน
การไร้ใบสั่งคือความที่เป็นอิสระซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการแบ่งแยกอำนาจเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลาการ
ประเด็นสำคัญคือหลักการนี้ไม่ได้เป็นแค่บรรทัดฐานเชิงคุณค่า แต่เป็นบทบัญญัติที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ จึงต้องเป็นหลักการที่เป็นแกนของระบอบการเมืองการปกครองตลอดเวลา
ในปี 2291 มองเตสกิเออร์พูดเรื่องนี้ใน The Spirit of the Laws หลักการนี้หมายถึงการจรรโลงระบอบที่คนเท่ากันโดยแบ่งแยกอำนาจเพื่อไม่ให้เจ้าและขุนนางคุมทุกสถาบันในสังคม
ในบทความของศาสตราจารย์ Stephen I.Vladeck ซึ่งมีชื่อเสียงจากการศึกษาบทบาทศาลในสหรัฐ การที่ศาลลำเอียงแต่ชูตัวเองว่าเป็นอิสระและเป็นกลาง (Hypocritical) คือสิ่งที่ทำให้สาธารณะเสื่อมความเชื่อถือต่อผู้พิพากษา, ต่อกระบวนการยุติธรรม และต่อ “ระบอบ” ทั้งปวง
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่โรมพูดเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้เลือนหายไปกับสายลม แต่ก็เห็นได้ชัดว่านักการเมืองและพรรคการเมืองอื่นพากันหุบปากเงียบในเรื่องนี้กันหมด ทั้งที่ช่วงนี้เข้าสู่เทศกาลหาเสียงเลือกตั้งซึ่งเป็นวาระอันดีที่นักการเมืองและพรรคการเมืองจะผลักดันเรื่องต่างๆ สู่สังคม
สังคมไทยเหมือนสังคมอื่นในโลกที่คาดหวังให้กระบวนการยุติธรรมไร้ใบสั่งและเป็นอิสระจนธำรงความยุติธรรมให้ทุกคน ปัญหาลำเอียงหรือกระบวนการยุติธรรมเลือกข้างเป็นปัญหาเชิงระบบที่คนไทยทุกคนมีโอกาสเป็นเหยื่อ แต่จะหาพรรคการเมืองอื่นที่พูดเรื่องนี้บ้างกลับไม่มีเลย
9 ปีที่คุณประยุทธ์ยึดประเทศ คือ 9 ปีที่ประเทศจมอยู่ในขุมที่มืดมิดจนไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่แวบเดียว
หายนะที่คุณประยุทธ์ทำกับประเทศมีมากจนแค่เสี้ยววินาทีกับคุณประยุทธ์ก็เปรียบได้กับหลุมดำที่ดูดอนาคตถอยหลังสู่ระบอบแห่งความถดถอยที่มีแต่ความล้าหลังและเสื่อมสภาพทุกอณู
การเลือกตั้งปี 2566 คือประตูแห่งประวัติศาสตร์ที่จะพาประเทศออกจากระบอบถ่วงความเจริญซึ่งคุณประยุทธ์สร้างตามใบสั่งของพรรคพวกทั้งที่อยู่เหนือและอยู่ใต้คุณประยุทธ์ลงมา การลงคะแนนเพื่อล้างบางฝ่ายคุณประยุทธ์ให้สิ้นซากจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างชัดเจน
การล้างบางฝ่ายประยุทธ์ต้องเริ่มต้นโดยเอาคุณประยุทธ์ออกไป แต่พรรคฝ่ายค้านพูดต่อเนื่องหลังปี 2557 ถึง “ระบอบประยุทธ์” ซึ่งมีความหมายกว่าตัวคุณประยุทธ์คนเดียว การเปลี่ยนนายกฯ โดยไม่แตะ “ระบอบประยุทธ์” จึงเหมือนการเปลี่ยนกระเบื้องแผ่นเดียวของบ้านที่ปลวกกินทั้งหลังจนรอวันพัง
เลือกตั้งปี 2566 คือบันไดขั้นแรกของการเปลี่ยนผ่านประเทศจากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย จุดหมายของการเลือกตั้งได้แก่การถอดรื้อกลไกที่จรรโลงระบอบการปกครองแบบเผด็จการ สิ่งที่พรรคต้องทำจึงต้องมีมากกว่าการแย่งตำแหน่งนายกฯ แต่คือการมีนายกฯ ใหม่เพื่อเปลี่ยนประเทศสู่ประชาธิปไตย
สื่อชอบถามเรื่องเพื่อไทยจะจับมือกับพลังประชารัฐจนกองเชียร์เพื่อไทยรำคาญ
แต่คำถามนี้สะท้อนความกังวลว่า “ระบอบประยุทธ์” จะสืบพันธุ์ผ่านพลังประชารัฐจนทำลายโอกาสจะได้รัฐบาลใหม่ที่ไม่มี “ระบอบประยุทธ์” และไม่ใช่การต่อท่ออำนาจของพวกประยุทธ์ที่ทิ้งคุณประยุทธ์ไปคนเดียว
อีกไม่กี่วันคุณประยุทธ์ก็จะยุบสภา และทุกพรรคก็จะเข้าสู่สนามเลือกตั้งอย่างเต็มรูปแบบ “วาระ” ที่พรรคการเมืองควรทำไม่ได้มีแค่แข่งกันด่าหรืออวยคุณประยุทธ์ แต่ต้องทำให้สังคมเห็นปัญหาและองค์ประกอบของ “ระบอบประยุทธ์” เพื่อไม่ให้เครือข่ายคุณประยุทธ์มีอำนาจกัดกินประเทศต่อไป
9 ปีของคุณประยุทธ์นานพอจะทำให้ประชาชนตาสว่างว่า “ระบอบประยุทธ์” ประกอบด้วยอะไร “เพดาน” ความเข้าใจที่สูงขึ้นด้านเศรษฐกิจ-การเมือง-กฎหมาย-วัฒนธรรม ฯลฯ ทำให้ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงหลายมิติจนพรรคการเมืองต้องไม่ลดเพดานความคาดหวังของประชาชน
การเปิดประเด็นความไม่เป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรมโดย ส.ส.รังสิมันต์ คือตัวอย่างของการยกเพดานการทำงานของนักการเมืองและพรรคการเมืองให้เท่าทันเพดานที่สูงขึ้นของสังคม รังสิมันต์ทำให้ประชาชนเห็นว่า การรื้อระบอบประยุทธ์ต้องรื้อปัญหาการพิจารณาคดีอย่างเลือกข้างด้วยแน่นอน
ทันทีที่ฤดูเลือกตั้งเริ่มอย่างเป็นทางการด้วยคำประกาศยุบสภาไม่เกินกลางมีนาคม พรรคการเมืองก็จะเริ่มเทศกาลเสนอนโยบายเพื่อโกยคะแนนเสียงและเพื่อภาพลักษณ์ในอนาคต หรืออีกนัยคือการแข่งกันเสนอแนวคิดดีๆ และเป็นประโยชน์ รวมทั้งนโยบายที่พูดส่งเดชโดยไม่รับผิดชอบอะไรเลย
นักการเมืองไม่ใช่เทวดา และไม่มีพรรคไหนเป็นที่รวมอภิมหาเทวดาที่พอเป็นรัฐบาลแล้วประเทศดีไปหมด หน้าที่ประชาชนในการเลือกตั้งคือการดันเพดานความคาดหวังด้านเศรษฐกิจ, สวัสดิการ, ประชาธิปไตย ฯลฯ ให้สูงถึงขั้นที่พรรคการเมืองไม่กล้าดึงลงมาต่ำจนเสียคะแนนนิยมทางการเมือง
ถ้าการเลือกตั้งเป็นแค่การเปลี่ยนนายกฯ โดยเอาคุณประยุทธ์ออกไป รัฐบาลหลังเลือกตั้งก็คือรัฐบาลที่เปลี่ยนนโยบายบางส่วนโดยปล่อยให้ “ระบอบประยุทธ์” ในสภา, ทหาร, ศาล และองค์กรอิสระเดินหน้าไม่รู้จบ ฉากจบเรื่องนี้จึงเป็นได้ทั้งระบอบนี้ปรับตัว หรือไม่ก็ระบอบนี้รอเช็กบิลรัฐบาล
การเลือกตั้งคือกลไกในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนจะเปลี่ยนประเทศได้ตามต้องการ พรรคการเมืองจึงมีหน้าที่นำเสนอนโยบายเพื่อให้ชนะเลือกตั้ง กับนโยบายที่ชี้นำว่าสังคมควรเดินไปทางไหนเหมือนนโยบายบัตรทอง, ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท, สิทธิลาคลอด 90 วัน และประกันสังคม
เพื่อให้การเลือกตั้งมีความหมายมากกว่าการไล่คุณประยุทธ์ด้วยบัตรลงคะแนน การผลักดันนโยบายที่รื้อโครงสร้าง “ระบอบประยุทธ์” คือสิ่งที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องทำในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเฉพาะการลดบทบาทตุลาการ, ทหาร, องค์กรอิสระ และองคาพยพอื่นๆ นอกจาก 250 ส.ว.
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022