ผ่านาทีสยบตำรวจคลั่ง ยิงมั่วชาวบ้านกระเจิง คอนมานโดบุกจู่โจม คลี่สาเหตุป่วยทางจิต

เป็นอีก 1 คดีสะเทือนขวัญที่สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับประชาชนอย่างยิ่ง

สำหรับกรณีนายตำรวจยศ พ.ต.ท. เกิดอาการคลุ้มคลั่ง กราดยิงปืนสนั่นหน้าบ้านพักของตัวเอง ย่านสายไหม กทม. จนชาวบ้านในย่านดังกล่าวอยู่ไม่ได้ ต้องอพยพหนีตายกันจ้าละหวั่น

อลหม่านกันข้ามคืน ชาวบ้านต้องทิ้งบ้านพักไปอาศัยที่อื่นเอาดาบหน้า เพราะหวาดกลัวอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโดยเจตนาหรือลูกหลง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าระงับเหตุ พยายามเกลี้ยกล่อมให้วางปืนมอบตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จ พ.ต.ท.คนดังกล่าวยังคงยิงปืนออกมาเป็นระยะ

สุดท้ายต้องใช้วิธีชุดคอมมานโด อรินทราช เข้าปฏิบัติการจู่โจมจับกุม แต่ พ.ต.ท.คนดังกล่าวก็ไม่ยอมโดยดี กลับต่อสู้ขัดขืน จนถูกยิงสวนไปทั้งหมด 6 นัด อาการสาหัส

และแม้จะยุติเหตุการณ์นี้ได้ แต่สังคมก็ยังสงสัยสาเหตุว่าทำไม พ.ต.ท.คนนี้ถึงเกิดอาการคลุ้มคลั่ง จะเป็นเพราะป่วยอาการทางจิต เครียดเรื่องส่วนตัว หรือจะเป็นเรื่องภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ ดังที่มีคลิปพูดโจมตีตำรวจว่าเกี่ยวพันกับยาเสพติด เป็นเรื่องที่ต้องคลี่คลายกันต่อไป

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีคำถามว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่รัฐติดอาวุธเกิดคลุ้มคลั่ง แล้วที่ระบุว่าจะถอดบทเรียนป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

คืบหน้าไปถึงไหน!!!

อพยพชาวบ้าน

ช็อก พ.ต.ท.กราดยิงอีก

เหตุระทึกครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 14 มีนาคม โดย พ.ต.อ.รังสรรค์ สอนสิงห์ ผกก.สน.สายไหม รับแจ้งเหตุตำรวจคลุ้มครั้งยิงปืนหลายนัด ออกมาจากบ้านเลขที่ 2/269 โครงการบ้านมั่นคง สหกรณ์เลียบคลองสองสามัคคี จำกัด แยกซอยสายไหม 46 เขตสายไหม กทม.

จึงรายงานผู้บังคับบัญชา นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยอรินทราช 26 รุดไปที่เกิดเหตุ

สถานที่เกิดเหตุเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น พบชายคลุ้มคลั่งมีอาวุธปืนตะโกนโวยวายอยู่ในบ้าน ทราบชื่อ พ.ต.ท.กิตติกานต์ แสงบุญ อายุ 51 ปี สังกัดศูนย์พัฒนาด้านการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล

โดยสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า พ.ต.ท.กิตติกานต์ยังไม่มีครอบครัว เมื่อ 2 ปีที่แล้วย้ายเข้ามาเช่าบ้านที่เกิดเหตุกับเพื่อนตำรวจ 2 คน ต่อมาเพื่อนย้ายไปอยู่ที่อื่น พ.ต.ท.กิตติกานต์พักอยู่คนเดียว ก่อนหน้านี้สังกัดวิทยาลัยการศึกษา กองบัญชาการศึกษา และการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งล่าสุดมาอยู่ที่ตำรวจสันติบาล

ทั้งนี้พบว่า พ.ต.ท.กิตติกานต์มีภาวะทางจิต ขาดราชการหลายวัน ชาวบ้านมักจะเห็นถือโทรศัพท์มือถือใส่หูฟังพูดคนเดียว และตะโกนด่าไปเรื่อย อีกทั้งชอบยิงปืนขึ้นฟ้าสร้างความหวาดผวาไปทั่ว ก่อนเกิดเหตุชุดปฏิบัติการสันติบาล ประสานโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อมารับตัวไปรักษา เมื่อเคาะประตูเรียกปรากฏว่า พ.ต.ท.กิตติกานต์ไม่พอใจ ใช้อาวุธปืนยิงใส่ประตูไม้ทะลุออกมา 2 นัด เพื่อนและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิ่งหนีแตกกระเจิง โชคดีกระสุนปืนไม่ถูกใคร

จากนั้น พ.ต.ท.กิตติกานต์เปิดประตูออกมายืนถือปืนอยู่หน้าบ้าน โวยวายตะโกนซื้อบุหรี่ 1 ซองจากร้านขายของชำข้างบ้าน ทั้งนี้พบว่าผู้ก่อเหตุมีปืนพก 2 กระบอก คือขนาด .357 และ 9 ม.ม. แต่ไม่ทราบว่ามีกระสุนทั้งหมดเท่าใด

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมที่เกิดเหตุอยู่นั้น ปรากฏว่า พ.ต.ท.กิตติกานต์ก็ยิงปืนออกมาอีกกว่า 20 นัด พร้อมตะโกนด่าทอ ก่อนจะติดต่อให้ผู้บังคับบัญชาที่ พ.ต.ท.กิตติกานต์เคารพนับถือ และญาติพี่น้องมาช่วยเกลี้ยกล่อมแต่ไม่เป็นผล

ในช่วงเย็นเจ้าหน้าที่ใช้โดรนบินดูสถานการณ์โดยรอบ พร้อมให้กำลังอรินทราชเรียงแถวเข้าปิดกั้นพื้นที่ ไม่ให้ พ.ต.ท.กิตติกานต์ออกมาก่อเหตุทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องได้ พร้อมให้อพยพชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง ออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย

ต่อมาเวลา 18.45 น. มีเสียงปืนดังออกมาจากบ้านอีก 10 กว่านัด พร้อมเสียงระเบิด เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่ เพื่อระงับเหตุ แต่ก็ไม่ได้มีการบุกเข้าชาร์จแต่อย่างใด

โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าเนื่องจากสามารถปิดล้อมไม่ให้ พ.ต.ท.กิตติกานต์ออกมาจากบ้านพักได้ และไม่ได้มีตัวประกัน อีกทั้งพบว่าผู้ก่อเหตุมีอาการทางจิต จึงใช้แนวทางปิดล้อมจนอ่อนเพลีย และยอมวางอาวุธ

เป็นสถานการณ์ยืดเยื้อแน่นอน!!

กระขับพื้นที่

บุกจู่โจม-อาการสาหัส

โดยตลอดทั้งคืน สถานการณ์ก็ไม่ได้นิ่งสงบ โดยช่วงประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่พยายามเกลี้ยกล่อม ให้วิดีโอคอลคุยกับแม่และอดีตภรรยา และลูก แต่ พ.ต.ท.กิตติกานต์ไม่ยินยอม ต่อมาเวลา 02.00 น. มีการยิงแก๊สน้ำตาอีก 20 นัดเข้าไปในบ้านพัก ควันฟุ้งไปทั่วบริเวณ ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่อพยพไปก่อนหน้านี้ แล้วกลับเข้ามาหลับนอน เพราะไม่รู้จะไปที่ไหน ต้องอพยพอีกรอบ ซึ่งมีทั้งผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง

ต่อมาช่วงเช้าอดีตผู้บังคับบัญชาเข้าเจรจาชักจูงให้มอบตัว โดยระบุว่าจะให้ย้ายกลับไปสังกัดกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเหมือนเดิม

ส่วนเพื่อนข้าราชการตำรวจก็พยายามร้องเพลงลูกทุ่งที่ พ.ต.ท.กิตติกานต์ชอบ แต่ก็ไม่เป็นผล ทั้งนี้ จากการประเมินจากเจ้าหน้าที่พบว่า พ.ต.ท.กิตติกานต์มีอาการหวาดระแวง ไม่สามารถเจรจาชักจูงได้ในเวลาอันสั้น จำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้ยา หรือชอร์ตไฟฟ้าโดยด่วน

ขณะที่ชาวบ้านในละแวกดังกล่าว ที่ได้รับผลกระทบทั้งจากแก๊สน้ำตาและไม่สามารถเข้าที่พักอาศัยได้ เริ่มโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่ว่าล่าช้า ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อน และสุ่มเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากกระสุนปืนที่ยิงมั่วออกมา ทั้งนี้ จากการใช้โดรนบินสำรวจพบว่า พ.ต.ท.กิตติกานต์กบดานอยู่ที่ชั้น 2 ของบ้านพัก

ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. รุดมาที่เกิดเหตุเพื่อรับฟังสถานการณ์และวางแผน ทั้งนี้ เมื่อ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์เดินทางกลับ ปฏิบัติการจู่โจมก็เริ่มขึ้น

โดยเริ่มจากเวลา 11.52 น. ชุดจู่โจมใช้บันไดและถังน้ำต่อขึ้นชั้นสอง เวลา 11.59 น. กันสื่อมวลชนออกจากพื้นที่และให้ยุติการไลฟ์สดสถานการณ์

เวลา 12.12 น. ตำรวจเริ่มกระชับพื้นที่เข้าใกล้บ้านผู้ก่อเหตุ เวลา 12.13 น. ชุดจู่โจมยิงเข้าไปในบ้าน 5 นัด จากนั้นก็มีเสียงสาดกระสุนใส่กันทั้ง 2 ฝ่ายต่อเนื่อง เสียงดังสนั่นกว่า 30 นัด จนกระทั่งเวลา 12.25 น. ตำรวจใช้ระเบิดควันปาเข้าไปในบ้าน ขณะที่ พ.ต.ท.กิตติกานต์ยิงสวนมา เจ้าหน้าที่ก็ยิงใส่ จน พ.ต.ท.กิตติกานต์หลบหนีออกจากชั้นสองทางหน้าต่างบานเกล็ด แล้วร่วงตกลงมาด้านหลังบ้าน ก่อนเจ้าหน้าที่เข้าจู่โจมจับกุม แล้วเรียกรถพยาบาลนำตัวส่งโรงพยาบาลภูมิพล

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบ พ.ต.ท.กิตติกานต์ถูกยิงทั้งหมด 6 นัด ที่ข้อพับซ้าย หน้าอกซ้าย ขาท่อนบนซ้าย ขาขวา หน้าอก และหลัง ต้องปั๊มหัวใจให้ชีพจรกลับคืนมาและส่งรักษาในไอซียู

นาทีล็อกตัว

ปิดฉากการปิดล้อมนาน 28 ชั่วโมง

ตั้ง 5 ข้อหา-คลี่ปมคลั่ง

ต่อมา พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 เข้าร่วมกับตำรวจ พฐ. ตรวจพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมระบุว่า ประเมินความผิดของสารวัตรกานต์ เบื้องต้นก็จะมีความผิดใน 5 ข้อหา คือ พยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ต่อสู้และขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้เสียทรัพย์ พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และยิงปืนในเมือง หมู่บ้าน ในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร

ทั้งนี้ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจเลือดของ พ.ต.ท.กิตติกานต์ และตรวจสอบภายในบ้านพักว่ามีสิ่งเสพติดหรือไม่

พร้อมเปิดเผยเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าจู่โจม ว่าเป็นการประเมินของผู้บังคับบัญชาหลายส่วน และการประเมินของกรมสุขภาพจิต ที่เห็นว่าผู้ก่อเหตุมีสภาพจิตเบี่ยงเบน การตอบสนองไม่ตรง ถามอย่างตอบอย่าง การพูดคุยเพื่อให้มอบตัวไม่น่าทำได้ในระยะเวลาสั้น

ส่วนที่เลือกจู่โจมเวลานั้น เพราะผู้ก่อเหตุมีอาการผ่อนคลายลงหลังได้พูดคุย ผบ.ตร.

อย่างไรก็ตาม สำหรับสาเหตุการก่อเหตุครั้งนี้ยังคงเป็นเรื่องที่สังคมคลางแคลง เพราะแม้จะบอกว่าได้รับติดต่อรถโรงพยาบาลให้มารับไปรักษา แต่จากการตรวจสอบไม่พบว่า พ.ต.ท.กิตติกานต์เคยเข้ารับรักษาอาการทางจิต แถมยังมีคลิปออกมาโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แถมยังเพิ่งถูกย้าย จึงกลายเป็นประเด็นคำถามว่ามีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ อย่างไร

ไม่เพียงแค่นั้นยังมีประเด็นที่ว่าเรื่องราวที่เจ้าหน้าที่ถืออาวุธเกิดอาการคลุ้มคลั่งเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

เพราะยังจำกันได้กับกรณี จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา สังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ นครราชสีมา คลั่งใช้อาวุธปืนกราดยิงประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตกว่า 88 ราย เมื่อปี 2563

หรือกรณีเหตุการณ์ที่หนองบัวลำภู เมื่อปี 2565 โดย ส.ต.อ. ปัญญา คำราบ อดีตตำรวจ สภ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู บุกสังหารหมู่เด็กเล็กและครูที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก องค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ เสียชีวิต 37 ราย

หลังเหตุการณ์มีการยืนยันว่าจะต้องถอดบทเรียน ทั้งเรื่องการคุมอาวุธปืน การตรวจสภาพจิตของเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ

ไม่รู้ว่าจะต้องถอดบทเรียนกันอีกสักกี่ครั้ง หรือต้องทำอย่างไร ไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้อีก