ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มีนาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | การศึกษา |
เผยแพร่ |
เข้าสู่บรรยากาศการเลือกตั้ง หลายพรรคการเมืองเริ่มประกาศนโยบาย เดินสายหาเสียง ซึ่งเท่าที่ดู ส่วนใหญ่จะเน้นโยบายด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง แก้จนเป็นหลัก
ขณะที่นโยบายด้านการศึกษากลับถูกพูดถึงน้อย
ส่วนหนึ่งอาจเพราะไม่ใช่ตัวชูโรง ที่จะทำให้ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งมากนัก
นายอดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มองว่า เป้าหมายของคนที่เข้าผู้ที่เข้าสู่สนามเลือกตั้ง จะมุ่งเน้นไปที่นโยบายด้านเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ปากท้องเป็นหลัก เพราะทำให้ได้คะแนนเสียง ขณะที่นโยบายด้านการศึกษา ไม่สามารถทำคะแนนเสียงในการเลือกตั้งได้มากนัก
จึงเห็นได้ว่า นโยบายการศึกษาของแต่ละพรรคจะไม่ค่อยมีความชัดเจน ส่วนใหญ่จะเน้นนโยบายประชานิยม
ที่ชัดเจนคือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่เน้นแจกของฟรี ทั้งเรียนฟรีถึงปริญญาตรี โดยเฉพาะสาขาขาดแคลน ฟรีอินเตอน์เน็ต 1 ล้านโรงเรียนทั่วประเทศ รวมถึงหมู่บ้าน ตั้งธนาคารหมู่บ้านและชุมชน โดยให้เงินหมู่บ้านหรือชุมชนละ 2 ล้าน เพื่อให้ทุกคนสามารถตั้งตัวได้มีเงินทุนหมุนเวียน เป็นต้น
ส่วนพรรคเพื่อไทย สะท้อนประชานิยม เช่น เงินตอบแทนปริญญาตรีขั้นต่ำ 25,000 บาทต่อเดือนแล้ว สายอาชีพมีรายได้ คือการส่งเสริมให้บริษัทเอกชนรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เข้าฝึกงานจริงตามสายอาชีพ ให้เรียนไปทำงานไปมีรายได้ตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไป
การสนับสนุนสวัสดิการคนวัยเริ่มงาน ด้วยการอุดหนุนค่าอินเตอร์เน็ต รถเมล์ฟรี นอกจากนี้ กลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือแม้แต่ผู้สูงอายุควรได้โอกาสเข้าอบรมฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ฟรีในสถาบันการศึกษาต่างอีกด้วย เป็นต้น แต่ก็มีจุดเด่นในเรื่องการกระจายอำนาจไปยังสถานศึกษา
แม้แต่ก้าวไกล ก็ยังไม่โดดเด่น เน้นประชานิยม ทั้งเรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับส่ง โรงเรียนโปร่งใส ปราศจากทุจริต การศึกษาที่ปลอดภัย ไร้อำนาจนิยม ประกอบด้วย ส้วมสะอาด อาคารสถานที่ปลอดภัย ซึมเศร้ามีที่ปรึกษา กฎโรงเรียนต้องไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน ครูละเมิดสิทธิ พักใบประกอบทันที ยกเลิกตั้งแถว ใช้เวลาอัพเดตเหตุการณ์บ้านเมือง ออกแบบหลักสูตรใหม่ เน้นทักษะที่ได้ใช้จริง ชั่วโมงเรียนดีมีคุณภาพ ลดคาบเรียน-การบ้าน-การสอบ โรงเรียน 2 ภาษา นักเรียนพูดภาษาอังกฤษได้ เป็นต้น ส่วนพรรคอื่นๆ ก็ไม่มีความแตกต่าง เรียกว่าเป็นรายละเอียดมากกว่านโยบาย
ดังนั้น ตอนนี้จึงอยากเห็นพรรคการเมืองประกาศนโยบายทางการศึกษาที่ไม่ใช่ประชานิยม เป็นนโยบายเชิงโครงสร้างที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของประเทศ ที่สำคัญอยากเห็นการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศเข้าสู่สังคมโลกยุคใหม่ อยากฝากนักการเมืองให้ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ แม้จะมีผลต่อคะแนนเสียงน้อย แต่ก็เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศ เพราะการจะปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ ต้องใช้นโยบายการศึกษาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน
ขณะที่ตัวแทนสถานศึกษาเอกชน อย่างนายประเสริฐ กลิ่นชู ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) ในฐานะนายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สวทอ.) บอกชัดว่า หลายรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณมากที่สุด
แต่งบฯ ที่ได้ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้เป็นเงินเดือนบุคลากร ส่วนงบฯ พัฒนาก็จะทุ่มลงไปที่สถานศึกษาของภาครัฐเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นงบฯ ซ่อมสร้างอาคารสถานที่ เงินอุดหนุนรายหัว และงบฯ พัฒนาในเรื่องอื่นๆ ถึงจะบอกว่าให้ความสำคัญกับเอกชนที่เข้ามาช่วยรัฐจัดการศึกษา
แต่การอุดหนุนงบฯ พัฒนาต่างๆ กลับได้รับไม่เท่าเทียม อย่างเช่น งบฯ อุดหนุนรายหัว ซึ่งสถานศึกษาเอกชนเรียกร้องให้มีการอุดหนุน 100% เท่ากับสถานศึกษารัฐ ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณา แม้จะขอมาหลายปี ก็ยังไม่ได้รับ
ส่วนตัวไม่คาดหวังอะไรมากกับพรรคการเมือง เพราะพอเข้ามาเป็นรัฐบาลก็คงไม่ได้ตามที่ขอ แต่ก็อยากให้ดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่กำหนดสัดส่วนผู้เรียนสายสามัญ ต่อสายอาชีวะ อยู่ที่ 50:50 หรือ 60:40 ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้
สาเหตุเพราะผู้กำหนดทิศทางการดำเนินการส่วนใหญ่ เป็นข้าราชการ ดังนั้น ก็จะเอื้อประโยชน์ให้กับสถานศึกษารัฐก่อน ทำให้สถานศึกษาเอกชนไม่ได้รับภาคเป็นธรรมเท่าที่ควร
ปิดท้ายที่นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เห็นไม่ต่างกันว่า แต่ละพรรคการเมืองมีนโยบายหาเสียงเกี่ยวกับการศึกษาน้อยมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนโยบายที่เกี่ยวกับการศึกษาทำยาก ต้องใช้เวลานาน
โดย 8 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายการศึกษาที่ทำให้ประเทศเสียเวลาอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะกฎหมายการศึกษาที่ผลักดันไม่สำเร็จ เป็นตัวบ่งบอกว่า ถ้าไม่มีนโยบายที่ดี ไม่มีนโยบายที่เข้มแข็ง และไม่มีสภาราษฎรที่มุ่งมั่น จะทำให้ปฏิรูปการศึกษาไม่สำเร็จ
ทั้งนี้ เท่าที่ดูนโยบายการศึกษาของแต่ละพรรค จืดชืด เป็นนโยบายหาเช้ากินค่ำ ไม่หนักแน่น ไม่มีทิศทาง เป็นนโยบายชั่วครั้ง ซึ่งชั่วคราว ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ยังไม่มีนโยบายไหนที่มุ่งประโยชน์แก่ผู้เรียน ส่วนใหญ่จะหาเสียงกับครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งสิ้น มีไม่กี่พรรคที่มีนโยบายการศึกษาที่ดูเข้าท่า สาเหตุที่พรรคการเมืองไม่นิยมนำนโยบายเรื่องการศึกษามาหาเสียง เพราะเป็นเรื่องยาก และการศึกษาเป็นรัฐสวัสดิการ ไม่ใช่ประชานิยมที่จะนำมาหาเสียงได้
ขณะที่แต่ละพรรคก็ไม่มีแกนหลักด้านการศึกษา ดังนั้น จึงประกาศนโยบายเรื่องนี้มาค่อนข้างน้อย ที่ประกาศมาส่วนใหญ่ เป็นเรื่องเดิม ไม่พัฒนา ไม่มีอะไรที่เป็นความหวัง หรือทำให้การศึกษาของประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลง
อยากเห็นความชัดเจนในการผลักดันการศึกษาจากรัฐบาลชุดใหม่ อยากให้รัฐบาลชุดใหม่นำ 8 ปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียน เพื่อจัดทำนโยบายแก้ปัญหาการศึกษาของประเทศ โดยจะต้องประกาศให้ชัดเจนว่าแต่ละเรื่องจะดำเนินการอย่างไร
เช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา, การผลักดันร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…. ที่ยังค้างอยู่ในสภา จะเดินหน้าต่อ หรือจะปัดตกและทำใหม่, แนวทางการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง ไปที่สถานศึกษา เป็นต้น
นอกจากนโยบายการศึกษาที่ชัดเจนแล้ว ยังต้องมองเป้าหมายของประเทศ คือ จะพัฒนาเด็กอย่างไรให้เป็นพลเมืองที่มีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักสิทธิและหน้าที่ เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และขอให้พรรคการเมืองที่จะมาเป็นรัฐบาลวางคนที่จะมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล ศธ. และวางผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ให้ดี โดยต้องเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ เข้าใจการศึกษา สามารถจัดการแก้ไขปัญหาการศึกษาได้
อย่าวางคนตามโควต้าการเมือง และให้ใครก็ได้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เหมือนที่ผ่านมา
เข้าใจว่า นาทีนี้ หลายพรรคคงมุ่งโชว์นโยบาย แก้ปัญหาปากท้องเป็นหลัก เพื่อดึงคะแนนเสียงจากคู่แข่งให้ได้มากที่สุด แต่หวังว่า เมื่อได้มาเป็นรัฐบาลแล้ว จะไม่มองข้ามการศึกษา ซึ่งเป็นหัวใจหลัก สร้างคนพัฒนาประเทศ… •
| การศึกษา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022