33 ปี ชีวิตสีกากี (11) | ดีใจสอบเข้า ‘นรต.’ ได้ ทุกข์ใจกู้เงิน 7,500 มอบตัว

แม้จะเรียนมาถึงชั้นนี้แล้ว ผมก็ยังช่วยพ่อแม่ผมทำสวน

ผมได้รับรู้ถึงกลิ่นเหงื่อคราบไคลจากการทำงานหนักของพ่อแม่ พี่ๆ ของผม

รู้ถึงความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบาก ความอดทนของพ่อแม่ ที่ทำเพื่อลูกๆ ทุกคน และพี่ๆ ผมทุกคนที่ต้องเสียสละออกจากโรงเรียน เพื่อช่วยเหลือทางบ้าน

ลำพังช่วงปิดเทอม ผมไปทำงานในสวนยังเหน็ดเหนื่อยมากๆ แล้วพ่อแม่ และพี่ๆ ต้องทำทุกวัน จะเหนื่อยยากแค่ไหน

ผมอาศัยอยู่บ้านจาก ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ตั้งแต่จำความได้

วันเวลาผ่านไปนานหลายปี จนผมใกล้จะเข้าไปเรียนที่สามพรานแล้ว การทำสวนของพ่อเริ่มได้ผล พืชผักที่ปลูกเอาไว้ได้ผลงดงามและราคาผลผลิตก็ดีมาก จนมีเงินเหลือ พอที่พ่อกับแม่จะสร้างบ้านหลังใหม่ให้ลูกๆ โดยรื้อบ้านหลังคาจากหลังเดิม แล้วสร้างเป็นบ้านไม้สองชั้น หลังคามุงกระเบื้อง

บ้านทั้งหลังส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้แดง ไม้เต็ง ไม้มะค่าโมง และเดินสายไฟฟ้าทั้งบ้าน ซื้อเครื่องปั่นไฟมาปั่นไฟฟ้า เพื่อใช้ไฟฟ้าในยามค่ำคืน

เมื่อสร้างบ้านหลังใหม่เสร็จ เป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ภาคภูมิใจมาก ทำให้ลูกๆ ทุกคนมีความสุข และสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงจริงๆ

แม่ผมต้องเอาทองรูปพรรณที่เก็บสะสมมาตลอดไปขาย

ผม พร้อมกับพี่ๆ น้องๆ ถอนเงินจากบัญชีธนาคารออมสินที่สะสมจากค่าอาหารกลางวันเมื่อไปโรงเรียน ออกมาให้พ่อเป็นค่าก่อสร้างบ้านหลังนี้

ผมจึงเข้าใจความรู้สึก ความลำบากเหนื่อยยากของผู้คนในโลกนี้ เมื่อสร้างบ้านเสร็จ ก็แทบจะไม่มีเงินสะสมเหลืออยู่อีกเลย และมีบางส่วนที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มเข้ามา เรียกว่า งบมันบานปลาย และทำให้ครอบครัวกลับมาขัดสนเรื่องเงินทองอีกครั้ง

ต่อมาจากนั้นอีกไม่นาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคก็นำเสาไฟฟ้าไปปัก นำไฟฟ้าเข้าไปในหมู่บ้าน ทำให้ทุกหลังคาเรือนมีไฟฟ้าใช้เหมือนกับที่อื่นๆ ทั้งๆ ที่หมู่บ้านผมไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เลย

นับว่าล้าหลังมาก

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ผมยังเรียนมัธยมปลาย มีนายตำรวจท่านหนึ่ง คือ พ.ต.อ.ชำนาญ สุวรรณรักษ์ เป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงคราม และชลบุรี ตำแหน่งในขณะนั้น (ท่านเกษียณยศ พลตำรวจโท ตำแหน่งผู้บัญชาการ) ต้องการจะสร้างบ้านในพื้นที่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก

และที่ดินตรงนั้นพ่อผมก็เคยเช่าทำสวนมาก่อน เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ แต่มีหญ้าขึ้นหนาแน่นมากสูงท่วมหัวเลยทีเดียว และหญ้าที่ขึ้นเต็มพื้นที่คือ หญ้าขน จนหาคนที่จะมารับจ้างหักร้างถางพง ทำให้พื้นที่เตียน เพื่อสร้างบ้านไม่ได้

พ่อผมให้ผมกับน้องชายและมีลูกจ้าง ไปถากถางหญ้าที่สูงมาก จนเตียนโล่ง และทำอยู่หลายวัน จนเนื้อตัวตามร่างกายเป็นรอยขีดข่วนจากคมหนามของต้นหญ้าหลายชนิด

และผมได้มีโอกาสพบเจอ พ.ต.อ.ชำนาญในวันหนึ่ง ท่านได้ชวนพูดคุย และชี้ชวนว่า ผมมีหน่วยก้านดี น่าจะไปสอบเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ที่สามพราน

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่จุดประกายให้ลุกโชนขึ้นมาในใจผม ซึ่งก่อนหน้านั้นผมไม่เคยสนใจวิชาชีพที่จะเป็นตำรวจมาก่อนเลย เพราะผมมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับตำรวจมาก่อน ประกอบกับเวลานั้นผมก็ยังไม่รู้ว่าจะไปเรียนอะไร แล้วประกอบอาชีพอะไร

ถ้า พ.ต.อ.ชำนาญไม่มาชี้ชวนแนะนำ ผมคงไม่ได้เป็นตำรวจ

ผมยอมรับตามความเป็นจริงเลยว่า ผมไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แม้โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม นับตามระยะทาง ห่างไกลจากบ้านผมแค่ 21 กิโลเมตรเท่านั้นเอง

ผมไม่เคยไปที่สามพราน ไม่รู้แม้กระทั่งว่า เมื่อสอบเข้าไปเรียนได้ ทุกอย่างจะฟรีหมด ไม่ต้องจ่ายค่าเทอม เครื่องแบบที่ใช้ในโรงเรียนก็ฟรี รวมทั้งอาหารทุกมื้อ มีค่าใช้จ่ายเฉพาะส่วนตัวเท่านั้น

โดยผู้ที่จ่ายแทน คืองบประมาณที่เป็นภาษีของประชาชน จะจ่ายให้ทุกคนที่เข้าไปเรียน และมีสิ่งที่พ่อแม่จะต้องจ่ายจำนวนหนึ่งเท่านั้น

เมื่อมีคนจุดประกาย และชี้ทางให้ผมเดิน ผมเริ่มสนใจศึกษารายละเอียด ว่าน่าจะดีที่สุดสำหรับผมและครอบครัว

เมื่อผมเข้าไปเรียน จะได้ประหยัดเงินพ่อแม่

นั่นคือ เหตุผลเหตุผลเดียวเท่านั้น โรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีระยะเวลาในการศึกษา 4 ปี เมื่อสำเร็จตามหลักสูตรแล้ว ได้รับพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตร ในสาขารัฐประศาสนศาตรบัณฑิต (ตำรวจ)

สำหรับบุคคลที่จะเข้าไปศึกษาได้มี 3 เส้นทางด้วยกัน คือ จากบุคคลภายใน (ที่เป็นข้าราชการตำรวจอยู่เดิม) 60 คน

จากโรงเรียนเตรียมทหาร ที่เลือกเหล่าตำรวจอีก 60 คน

และจากบุคคลภายนอก หรือผู้ที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.ศ.5) อีก 120 คน รวม 240 คน

การสอบแข่งขัน จะให้บุคคลภายในและบุคคลภายนอกสอบ แยกกันไม่รวมกัน ส่วนนักเรียนเตรียมทหารนั้นไม่ต้องสอบ เพราะผ่านการเลือกเหล่ามาแล้ว

สำหรับบุคคลภายนอกอย่างผมจะมีการสอบภาควิชาการทั้งคณิตศาสตร์ เลขคณิต พีชคณิต ตรีโกณมิติ เรขาคณิต วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ภาคพลศึกษา คือ วิ่งระยะทาง 1,000 เมตร ว่ายน้ำ 50 เมตร

เมื่อผ่านรอบนี้ จะคัดไว้จำนวน 240 คน และสอบสัมภาษณ์กับตรวจร่างกาย และประกาศรายชื่อให้เข้าไปศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้จำนวน 120 คน

คือ คัดออกครึ่งหนึ่ง แล้วจะไปศึกษาร่วมกับบุคคลภายใน ที่เป็นตำรวจ และนักเรียนเตรียมทหาร

มเริ่มอ่านหนังสือหนัก

ในเวลาเดียวกัน ก็ซ้อมวิ่งไปตามถนนตอนหัวรุ่งตั้งแต่เช้ามืด วิ่งไปตามเรือกสวนแล้วออกไปถนนกลางผ่านปากทางเข้าบ้าน แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนเศรษฐกิจ มุ่งหน้าไปทางตำบลอ้อมน้อย ผ่านวัดนางสาว

จนมาถึงปากซอยวิรุณ ผมก็วิ่งกลับทางเดิม จนมาถึงบ้าน ระยะทางจะประมาณ 5 ถึง 6 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น

ส่วนในตอนบ่าย ผมจะซ้อมว่ายน้ำในคลองตั้วล้งหรือโต้ล้ง โดยผมจะวัดระยะให้ได้ 50 เมตร แล้วว่ายไปกลับ น้ำในคลองยังใสสะอาด น้ำยังจืดสนิท ผมฝึกว่ายด้วยตัวเอง

ปกติผมร่างกายแข็งแรงจากการทำสวนเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อซ้อมวิ่ง ว่ายน้ำได้ในระยะเวลาไม่นาน พละกำลังก็อยู่ตัว

และถึงวันสอบ ผมมั่นใจว่าผมทำได้แน่นอน

 

ในวันสอบ ผมเดินทางออกจากบ้านแต่เช้ามืด เพื่อไปให้ทันสอบ ซึ่งสอบกันที่กรุงเทพฯ

ผมขึ้นรถเมล์ประจำทาง เดินทางไปคนเดียว เมื่อไปถึงสถานที่สอบ มีนักเรียนจำนวนมากจากทั่วสารทิศเดินทางมาจากทั่วประเทศ

ชุดนักเรียนของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ผมจำเพื่อนบางคนได้ เช่น วิศาล พันธุ์มณี สุรชัย ประสพจันทร์ ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ณรงค์ เพ็ชรรัตน์ ก็มาสอบเหมือนๆ กับผม

บางคนก็มาจากภาคอีสาน บางคนเดินทางมาจากทางเหนือ บางคนอยู่ภาคกลางเหมือนกับผม บางคนอยู่ในกรุงเทพฯ นี่เอง

เพื่อนบางคนเดินทางมาไกลมากจากภาคใต้ อยู่ถึงหาดใหญ่ แต่ละคนมาจากสถานที่ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนและไม่เคยไปด้วย

ข้อสอบจะเป็นอัตนัย ผมสามารถทำได้ดีไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เรียกว่า ทำได้ทุกข้อ ไม่ยากเหมือนอย่างที่คิด ภาษาไทยก็ทำได้

แต่สำหรับภาษาอังกฤษ เป็นหนามยอกอกสำหรับผมทุกครั้ง ผมไม่มั่นใจมากนัก แต่คิดว่าน่าจะผ่าน

จากนั้น วันต่อๆ มา ก็มีการแข่งขันวิ่งระยะทาง 1,000 เมตร หรือ 1 กิโลเมตร ทำการแข่งขันคัดเลือกที่สนามศุภชลาศัย วิ่งภายในสนามศุภฯ 2 รอบครึ่ง ซึ่งผมสามารถวิ่งเข้าที่ 1 ในรอบของผม แต่ค่อนข้างเหนื่อยกว่าตอนซ้อมวิ่งที่บ้านมาก

วันถัดมา เป็นการแข่งขันว่ายน้ำ 50 เมตร ที่สระว่ายน้ำโอลิมปิก ใกล้ๆ กับสนามศุภชลาศัย

วันนี้ผมตื่นเต้น แต่เมื่อถึงเวลาแข่งขัน ผมว่ายน้ำได้ดี และกำลังไม่ตก เข้าเป็นที่ 1 เหมือนกับการวิ่ง และเวลาน่าจะดี

มีนักเรียนที่มาสอบแข่งขันหลายคน วิ่งแล้วเป็นลมหรือวิ่งได้ไม่ถึง 1,000 เมตร ก็ล้มเสียก่อนก็มี แต่ในรอบของผมไม่มี

บางคนว่ายน้ำไม่ค่อยได้ ว่ายเหมือนคนตกน้ำ พยายามวาดแขนไปมาจนน้ำกระจาย แต่กลับอยู่กับที่ เหมือนคนไม่เคยซ้อมมาก่อน ซึ่งมีอะไรแปลกๆ ให้ดู

บางคนมีครอบครัว พ่อแม่มาดูแลคอยให้กำลังใจ

สำหรับผมมีถุงหนังกลมๆ สีขาวใส่อุปกรณ์ไปเพียง 1 ถุงแล้วสะพายไป

 

ต่อมาก็มีการประกาศผลสอบแข่งขันคัดเลือกรอบแรกวิชาการและพลศึกษา จำนวน 240 คน ผลการสอบแข่งขัน ผมสามารถผ่านรอบนี้ไปได้

รอบต่อไปคือ การสอบสัมภาษณ์ และการตรวจร่างกาย

วันที่สอบสัมภาษณ์มีนายตำรวจหลายนายแต่งเครื่องแบบมาสัมภาษณ์ คนที่เข้าสอบคัดเลือก ต้องนุ่งกางเกงขาสั้น เมื่อรายงานตัว ต่อไปเป็นคำถาม เป็นการสอบถามความรู้ทั่วไป และทดสอบปฏิภาณไหวพริบ

ขั้นตอนสุดท้ายไปตรวจสุขภาพและร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ

แล้วการประกาศผลการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ก็มาถึง

ผมเป็น 1 ในจำนวนที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ในส่วนของบุคคลภายนอก แต่ไม่มีการประกาศว่าใครสอบได้ลำดับที่เท่าไหร่ แต่ประกาศตามลำดับอักษรและยังมีรายชื่อของคนที่ติดสำรองอีกหลายคน

 

ผลจากการที่ผมจะเข้าไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่ พี่ๆ น้องๆ ของผมมาก

ในวันที่ผมไปฟังผลสอบครั้งสุดท้าย ที่ประกาศ ณ กรมตำรวจ นายตำรวจของกรมตำรวจและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้ประกาศเรียกบุคคลที่สอบได้ ประชุมชี้แจงขั้นตอนการเตรียมการ เพื่อเข้าไปศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตั้งแต่วันเวลาที่จะต้องไปรายงานตัว เพื่อออกเดินทางพร้อมกัน จากกรมตำรวจไปยังโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

วันนั้นทั้งจากโรงเรียนเตรียมทหาร จากบุคคลภายใน และบุคคลภายนอก พร้อมกันทั้งหมด ในชุดเครื่องแต่งกายที่เหมือนกัน อุปกรณ์เครื่องใช้ที่จะต้องเตรียมไปใช้ ในโรงเรียน ตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมทั้งเงินที่จะต้องมอบตัว

กว่าจะชี้แจงเสร็จ ก็ใกล้ค่ำแล้ว ผมเดินออกจากกรมตำรวจเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน เพื่อนำข่าวดีไปบอกพ่อแม่พี่น้องด้วยความปีติดีใจ

เดินทางกลับถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว ปรากฏว่าทางบ้านตกใจ ช่วงที่ยังไม่ทราบข่าว สงสัยว่าทำไมจนป่านนี้ถึงไม่กลับบ้านเสียที

จนผมนำข่าวดีว่าผมสอบได้ ความระคนสงสัยที่บ้านก็หายไป กลับนำความรู้สึกยินดีปรีดามาแทนที่ และต้องเตรียมการหาอุปกรณ์อีกหลายอย่างที่จะเข้าไปใช้ในโรงเรียน เป็นเรื่องที่วุ่นวายพอสมควรในการครั้งนั้น

ในความยินดีที่ทุกคนในครอบครัวได้รับ ก็มีสิ่งที่สร้างความทุกข์ใจ คือ จะต้องใช้เงิน 7,500 บาทในการมอบตัว ซึ่งพ่อแม่ผมเพิ่งจะสร้างบ้านเสร็จไม่นาน เงินที่เก็บสะสมก็หมดไป จำเป็นจะต้องไปขอกู้ยืมเงินจากเพื่อนบ้าน

ซึ่งพี่สาวเล่าให้ฟังว่า กว่าจะใช้หนี้ก้อนนี้ได้หมด ก็เมื่อเวลาผ่านไป จนผมขึ้นเรียนชั้นปี 3 ของโรงเรียนนายร้อยตำรวจแล้ว คือบ้านผมนั้น มีความขัดสนมากทีเดียวเมื่อผมเข้าไปเรียน

นี่ถ้าหากผมไปเรียนมหาวิทยาลัย คงจะเรียนไม่จบแน่ๆ พ่อแม่คงไม่มีเงินพอส่งผมเรียน