กกต. (กูเกือบตาย) มา 5 คุก 2 ตาย 2 เหลือ 1

พ.ศ.2495 เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 โรงเรียนบ้านเมืองเก่า อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น

คุณพ่อผมมักใช้เวลาเย็นๆ หลังรับประทานอาหารเย็น เป็นที่ประชุมพบปะกันของคนในครอบครัว 3 คนพ่อแม่ลูก ผมมีหน้าที่ปูเสื่อและหาหมอนอิงให้คุณพ่อ

การพบปะกันของคนในครอบครัวเป็นการพักผ่อนหย่อนใจชนิดหนึ่ง บางวันคุณพ่อจะทำหน้าที่เป็นนักดาราศาสตร์ ชี้ให้ผมเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า พร้อมอธิบายถึงคุณประโยชน์ของดวงดาวเวลาเดินทางกลางคืน

บางวันท่านก็ทำหน้าที่เป็นครู จรรยามารยาท การกินการนอน รวมทั้งการเดิน ท่านย้ำอยู่เสมอว่า เวลาเดินให้ลงปลายเท้าอย่าให้เกิดเสียงดัง จะรบกวนสมาธิคนอื่น

ผมจึงได้นิสัย วัฒนธรรมการเดินจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ว่าจะต้องเดินลงปลายเท้าเท่านั้น

บางวันท่านจะอบรมเรื่องสุภาษิตต่างๆ เป็นทั้งโคลง กลอน โดยเฉพาะโคลงโลกนิติ ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 และกรมพระยาเดชาดิศร อันเป็นระเบียบแบบแผน ของโลกในยุคนั้น

เวลาผ่านมาหลายสิบปี ยังจำได้มีโคลงบทหนึ่งซึ่งท่านย้ำนักย้ำหนาให้ผมท่องจำให้ได้ คือ

“ความรู้ คู่เปรียบด้วย กำลังกายแฮ

สุจริต คือเกราะบัง ศาสตร์พร้อง

ปัญญา ประดุจดัง อาวุธ

กุมสติ ต่างโล่ป้อง อาจแกล้ว กลางสนาม”

ท่านย้ำนักย้ำหนาว่า เมื่อใดที่อยู่ในภาวะคับขัน ภัยจะมาถึงตัว ขอให้ถือว่าโคลงบทนี้คือคาถาหรือยาวิเศษก็ได้

 

เมื่อผมเติบโตขึ้นมามีครอบมีครัว มักจะเช่าหนังจีนมาดูเพื่อความบันเทิงอยู่ประจำ เป็นคนชื่นชอบหรือเป็นแฟนหนังจีนก็ว่าได้ ตั้งแต่เรื่อง “ศึกลำน้ำเลือด” เป็นต้นมา จนถึงหนังจีนประเภทซีรีส์ยาวๆ เช่น จิ๋นซีฮ่องเต้ พระนางบูเช็กเทียน โดยเฉพาะสามก๊กแล้วดูอย่างละเอียดแทบจำได้ทุกบท

เค้าเรื่องของหนังจีนส่วนมากเป็นเรื่องศึกชิงเมือง เจ้าเมืองเมืองหนึ่งยกทัพมาล้อมเมืองเมืองหนึ่งไว้ พร้อมส่งคณะทูตมาเจรจาว่าจะยอมแพ้หรือไม่ ถ้าไม่ยอมก็คงจะต้องต่อกรกัน ล้มตายกันเป็นอันมาก

เหตุการณ์ผ่านไปถึงปี 2544-2545 ประมาณเดือนตุลาคม หลังจากได้รับพระราชทานยศเป็นพลเอกแล้ว มีการรับสมัครบุคคลเข้าดำรงตำแหน่ง “กรรมการการเลือกตั้ง” ผมเข้าสมัครกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเข้าไปทำอะไรมากนัก

แต่โชคดีหรือเคราะห์ร้ายไม่สามารถทราบได้ ได้รับการคัดเลือกจากวุฒิสภาขณะนั้นให้เป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เรียบร้อยแล้วผมจึงได้ศึกษาภาระหน้าที่ของ กกต.อย่างละเอียดและชัดเจน

ได้ความว่าได้รับตำแหน่งเป็นท้าวมาลีวราชว่าความเมือง เป็นกรรมการห้ามทัพห้ามศึก มีบทบาทไม่แตกต่างจากหนังจีนที่เคยดูมา

 

ปี 2547 เป็นปีที่เปิดศักราชการเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นนัดแรก ผมจะต้องไปยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคู่แข่งขันในทุกๆ ท้องถิ่น ดูๆ แล้วช่างละม้ายคล้ายคลึงกับหนังจีนที่เคยดูมา

ทุกคนจะต้องเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ใช้อาวุธทุกอย่างที่พอหาได้ ทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ

เมื่อชนะก็ดีใจ ฝ่ายแพ้ก็เสียใจไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร พาลเดือดร้อนพาดไปถึงกรรมการห้ามทัพด้วย สำนวนการฟ้องร้อง ร้องเรียนกันแทบทุกพื้นที่ หรือแทบทุกยุทธบริเวณ ไม่แตกต่างไปกับห่าของลูกเกาฑัณท์อย่างในหนังจีน มีโอกาสที่จะถูกลูกหลงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการร้องเรียนของผู้แพ้

ส่วนผู้ชนะนั้นเงียบกริบ ไม่ได้แสดงความขอบอกขอบใจเราเสียด้วย

สำนวนการร้องเรียนเฉพาะเลือกตั้งท้องถิ่น จำนวนเป็นร้อยๆ สำนวนยังไม่พอ ต่อมาในปี 2549 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือนเมษายนหรือเดือน 5 ไม่แพ้หนังเรื่อง “เมษาเลือด” และ “เมษาฮาวาย”

สํานวนทั้งเลือกตั้งท้องถิ่นและเลือกตั้ง ส.ส. ประดังกันเข้ามา การร้องเรียนมีทั้งร้องเรียนฝ่ายตรงข้าม และเรื่องที่หนักใจ คือ ร้องเรียนกรรมการห้ามมวยด้วย จะต้องไปให้การกับศาลจากเหนือสุดใต้ ตะวันออก ตะวันตก ทุกทิศ ไม่ได้ละเว้น เดินทางไปแทบทุกจังหวัด ดุจการไปทัศนาจรศาลจังหวัดต่างๆ ก็ว่าได้

เพื่อนร่วมชะตากรรมทั้ง 5 คน ต่างก็หน้าดำคร่ำเครียด จนกระทั่งโรคภัยถามหา เสียชีวิตไป 2 และกลายเป็นผู้ต้องหาคดีชิงเมืองไปอีก 2 จนศาลได้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และเพื่อนร่วมชะตากรรมของผม 2 ท่านต้องกลายตนเองจากกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ต้องหาและนักโทษในที่สุด

ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ได้แต่จุดธูปจุดเทียนอธิษฐาน ขอให้คุณพระคุณเจ้า คุณบิดามารดาบรรพชนทั้งหลาย จงได้คุ้มครองให้ความช่วยเหลือให้ลูกช้างรอดจากปากเหยี่ยวปากกาด้วยเถิด

 

อยู่มาวันหนึ่งหลังจากตั้งสติได้ จึงนึกถึงโคลงโลกนิติคำสอนดุจดั่งคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่อ เมื่อคราวที่ผมยังเป็นเด็กปี 2495 ที่ว่า

“ความรู้ คู่เปรียบด้วย กำลัง กายแฮ”

ความรู้ที่ดีที่ว่านี้จะได้มาก็ด้วยมีการข่าวที่ดี

การข่าวที่ดีจะต้องมีแหล่งข่าวที่ดีและเชื่อถือได้ หลังจากได้ข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อได้แล้ว ต้องนำข่าวสารนั้นมาดำเนินกรรมวิธีข่าวกรอง เพื่อนำข่าวที่กรองแล้วไปทำยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีและแผน อาทิ แผนการเข้าตี ตั้งรับ การร่นถอย การหลบหลีก หลีกหนีที่มีประสิทธิภาพ ต่างก็มาจากข่าวกรองที่ดีทั้งสิ้น

ผมอาศัยความเป็นนายทหารเสนาธิการมาก่อน จึงได้ดำเนินกรรมวิธีดังกล่าวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เมื่อการข่าวบอกว่าภัยจะมาถึงตัวแล้วในไม่ช้า จึงเริ่มการวางแผนหลบหลีกหลีกหนีเข้าหลุมหลบภัยทันที

และการถอนตัวออกจากพื้นที่กระสุนตกจึงเริ่มดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยทันที ทำให้ผมอยู่รอดปลอดภัยมาได้

“สุจริต คือเกราะบัง ศาสตร์ป้อง กายาตนเอย”

ข้อนี้สำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องชี้ขาดแม้เราจะสุจริตปานใด ลูกเกาฑัณท์ที่พุ่งออกมาปานห่าฝน ไม่ได้รู้ว่าใครสุจริตหรือทุจริต ดังนั้น ในภาวะที่บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป จึงไม่ควรที่จะอยู่ในพื้นที่นั้นและไม่มีอะไรที่จะมาเป็นเกราะบังให้เราได้ ยกเว้นหลบหนีออกจากพื้นที่สังหารยิงเสีย

“ปัญญา ประดุจดั่ง อาวุธ”

อาวุธประจำกายของเราที่จะต่อสู้กับศัตรูได้คือปัญญา ปัญญาคือ “เข้าใจถูกต้องและคิดถูกต้อง” เราจึงถามตัวเองว่าเรามีปัญญาไหม ถ้าเราคิดถูกต้องว่าเราไม่ผิดกฎหมาย การคิดถูกต้องเช่นนั้นก็อาจจะไม่แคล้ว คือต้องคิดว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่มีเหตุมีผล เป็นเวลาสงครามแย่งชิงบ้านชิงเมือง จะมัวแต่คิดว่าตนเองถูกต้อง ทำถูกกฎหมายทุกประการว่าเข้าใจถูกต้องก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เวลาปกติ จะใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาอย่างนอกกรอบได้ทางเดียวคือ หนีออกจากความขัดแย้งเสียให้ไกล

“กุมสติ ต่างโล่ป้อง อาจแกล้ว กลางสนาม”

โล่ที่ดีที่สุดคือต้องมีสติ ระลึกให้ได้อยู่เสมอว่าเราอยู่ในสภาวะใด

เมื่อถามว่าเราเองอยู่ในสภาวะใด ได้คำตอบว่า “ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ” เป็นภาวะไม่ปกติจึงไม่มีทางใดที่จะทำให้หลุดพ้นจากภัยนี้ได้ดีเท่าหลีกหนีออกจากพื้นที่สังหารเสีย

 

เมื่อทบทวนโคลงโลกนิติทั้ง 4 ประการ ที่คุณพ่อให้ไว้จึงไม่มีอย่างอื่นใดจะดีไปกว่าหลบออกจากตำบลกระสุนตกเสีย นั่นคือคำตอบ

ดังนั้น 15 พฤษภาคม 2549 จึงตัดสินใจยื่นใบลาออก ให้นายทหารพระธรรมนูญเป็นบุรุษไปรษณีย์ ส่งให้ประธานวุฒิสภาได้พิจารณา และเราก็ออกจากวงการยุทธจักรนั้นตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้

ผมรอดมาได้เพราะยึดโคลงโลกนิติดังกล่าวเป็นคาถาครับ