การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ทั้งหมดของความหวัง

“พี่โฟ พี่โฟ!”

ฉันตัดสินใจออกปากเรียก เมื่อรอนานแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าพี่สาวร่วมพ่อจะลุกขึ้นมา

นอนตะแคงตัวงออย่างไรในตอนดึกดื่น ยังอยู่ในท่านั้นจนถึงตะวันส่องเข้าห้อง เพียงว่า น้ำตาที่ไหลลงตามร่องแก้ม ดูจะยังเปียกชื้นอยู่

“ถ้าพี่ไม่ลุก ฉันจะไปแล้วนะ”

“มึงจะไปไหน” เสียงแหบพร่าดังขึ้น

“จะออกไปหางานทำ”

เงียบนิ่งไป สักพักพี่โฟก็หันตัวมา

“จะไปหาที่ไหน”

“ก็…ยังไม่รู้” ฉันตอบไปตามตรง “เจอที่ไหนเขารับก็จะลองสมัครดู”

ทำเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่พูด รอจนฉันกำลังจะเดินจากถึงค่อยปากขึ้น

“แล้วมึงจะกลับตอนไหน”

“ยังไม่รู้เหมือนกัน” ฉันตอบ “ถ้าพี่หิวก็กินไป มีข้าวนึ่งกับไส้อั่ว วางไว้ให้แล้ว”

“เดี๋ยว อีพี่”

เหมือนจะยังเจ็บอยู่มาก แต่ร่างที่ซูบผอมไปถนัดตาก็ยันตัวลุกนั่งช้าๆ

“กูใกล้หายแล้วล่ะ มึงไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูลุกเตียวได้คล่องจะหางานให้มึงอีกแรง”

ฉันมองหน้าพี่สาวทันใด เรื่องเก่าๆ ในอดีตยังคงกระจ่างชัดในความทรงจำ และวูบขึ้นมาแม้ในยามนี้

“ไม่ต้องหรอก ฉันจะหาของฉันเอง”

เมื่อมีโอกาส ฉันควรจะต้องสร้างหนทางของฉันเอง ถ้าปล่อยให้พี่โฟเข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันอีก ก็อาจไม่ต่างจากแล้วๆ มา

และถ้าสบจังหวะ ฉันกับพี่โฟต่างคนต่างอยู่ดีกว่า

 

แต่ช่างเหมือนว่าจะไม่มีโชคดีให้ฉันเสียเลย…เกือบสองสามชั่วโมงได้ที่ฉันเดินจนขาแทบล้า จากถนนสายหนึ่งสู่ถนนอีกสาย ตาสอดส่ายมองหาป้ายรับสมัครลูกจ้าง มีสองสามที่ที่เข้าไปถาม ก็กลายเป็นว่าจะเอาแบบพักนอนประจำ

แต่ฉันเริ่มจะเข็ดแล้ว การมีชีวิตใต้ชายคาคนอื่น เมื่อประตูหน้าต่างหับลง บางทีเราก็เหมือนอยู่ในกรงอีกแห่ง

แดดจ้าร้อนขึ้นทุกขณะ เมื่อฉันผ่านไปหน้าแผงหนังสือแห่งหนึ่ง

มีคนขายเป็นชายไว้เคราเกือบยาว เกล้าผมมวยดูแปลกตา นั่งบนเก้าอี้หัวกลมข้างตู้แช่ มองเข้าไปเห็นน้ำสีเหลืองๆ อยู่ในแก้ว ดูจะเย็นฉ่ำเหลือเกิน

ปากคอฉันร้อนผ่าว บอกไม่ถูกว่าหิวข้าวหรือหิวน้ำกันแน่ จากใบแดงตอนนี้ก็แตกมาเป็นใบเขียวแล้ว และมีเศษเหรียญอีกจำนวนหนึ่ง ให้นึกอยู่เสมอว่า ถ้าไม่จำเป็นจะต้องไม่ยอมเสียมันไป

แต่ในจำนวนหนังสือที่ละลานตาอยู่บนแผงนั้น มีอยู่เล่มหนึ่งที่เด่นสะดุดตาออกมา

วัยหวาน…นั่นคือชื่อปกหนังสือที่ฉันเคยอ่าน ครั้งเคยไปทำงานกับอีพี่สร้อยสาย และนางเจ้าของร้านชำเคยยกให้

หน้าปกหนนี้คงเพิ่งมาใหม่ ไม่ใช่เล่มเก่าย้อนหลังอย่างหนนั้น ดูนั่นสิ มีภาพคนหล่อสวยที่ฉันไม่รู้จัก ถ้าไม่เป็นนักร้องก็คงเป็นดารา

มือยื่นออกไป ใจนึกอยากจะคว้าขึ้นมาเปิดดูข้างใน ฉันยังจำได้ว่า มีคอลัมน์บทกลอน มีเรื่องสั้น และเรื่องอะไรอีกมากมาย…ถ้าเพียงแต่ฉันจะได้มันมา บางที บางทีนะ ฉันจะได้ส่งสิ่งที่เขียนไว้ไปบ้าง

ไม่รู้เป็นเวลานานเท่าไหร่ ที่ฉันยืนเหม่อจ้องหนังสือบนแผงอยู่ ทั้งใจและมืออยากพุ่งจับเอามา ทว่า ตัวเลขบอกราคาหนังสือ ถ้าเอาไปซื้อข้าวคงกินได้อีกหลายวัน

จนมีเสียงกระแอมดังขึ้น

 

“สนใจเล่มนี้หรือ”

เสียงถามจากชายเจ้าของร้าน พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฉันเกือบตกใจ อีกประหม่าขึ้นมาทันใดว่าคงจะทำให้เขาไม่พอใจเป็นแน่ ค่าที่ยืนเกะกะหน้าร้านเขาอยู่

“ปละ…เปล่า” รีบปฏิเสธ

“เหลืออยู่เล่มเดียวแล้วนะ ขายดีมาก” คนขายยังพูดต่อ

ในระยะใกล้ ฉันรู้สึกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ผู้ชายคนนี้ เหมือนจะมีกลิ่นอะไรสักอย่างติดตัวจางๆ ทั้งที่เหนื่อยและท้องเริ่มร้องโครกคราก จมูกฉันยังไวอยู่

“เอามั้ย”

“มะ…ไม่”

รีบเดินถอยหลังออกจากแผงหนังสือ ตั้งใจจะจ้ำเท้าเดินออกไปให้ห่างร้านที่สุด แต่แล้วก็เหมือนมีความรู้สึกพุ่งรุนแรงขึ้นมา

มันอาจจะเป็นนั่น…ความหวังของฉัน มันอาจเป็นสิ่งนั้น…หรือเปล่า ที่ฉันเฝ้ามองหา

 

ชายเจ้าของร้านยิ้มอยู่ในแววตา คงจะสมใจที่เห็นว่าในที่สุดฉันก็กลับมาอีกครั้ง

“เอาเล่มนั้น”

มือที่ล้วงเอาสตางค์ออกมา แทบจะชุ่มเหงื่อ และมีความรู้สึกก้ำกึ่งกันไปหมด เจ้าของร้านพยักหน้ารับ และดึงหนังสือขึ้นม้วน รัดด้วยหนังว้องหนึ่งเส้นส่งให้

เงินออกไปจากฝ่ามือ ฉันถือหนังสือไว้อย่างมั่นคงที่สุด สตางค์ทอนเป็นเหรียญอีกครั้ง ฉันรับมันอย่างระแวดระวัง นับแล้วนับอีกว่าครบถ้วนดี

แล้วพลัน สายตาก็หันไปเห็นป้ายเล็กๆ ที่เสียบอยู่ข้างซอกแผงหนังสือ เหมือนจะตกหล่นลง

“รับสมัคร…”

รับสมัครอะไรกัน ฉันให้ความสนใจทันที แต่ตัวหนังสือที่เหลือก็หายไปกับของที่บังอยู่

กำลังพยายามจะชะโงกส่องดู มือใหญ่ก็ดึงป้ายนั้นขึ้น

…รับสมัครลูกจ้าง…

ฉันเหลียวขึ้นมองคนขายทันที และก็เห็นว่าใบหน้านั้นมองฉันอยู่เช่นกัน

“สนใจหรือ?”

ไม่รอช้า ฉันพยักหน้าเร็วรี่

“ทำงานที่นี่หรือ” เสียงฉันคงเบาหวิว

“ใช่ ในร้านนี้แหละ”

“งาน…งานทำอะไร”

“ช่วยเฝ้าหน้าร้านนี้ แล้วช่วยดูหนังสือเช่าข้างใน”

ฉันเหลียวมองเข้าไปในร้านทันที…เหมือนสรวงสวรรค์ ฉันเพิ่งเห็นว่า ถัดจากตู้แช่เข้าไปเป็นชั้นหนังสือสูงเกือบท่วมหัวได้ หนังสือเป็นร้อยๆ เล่มเรียงอัดแน่นอยู่สองข้างผนัง มีโต๊ะไม้ยาวอยู่ตรงกลาง และเพิ่งเห็นอีกว่ามีผู้ชายอีกสองสามคนนั่งอ่านอยู่

โอ ในที่สุด ฉันก็เจอที่ที่ฉันอยากได้งานแทบตัวสั่น มันคือสิ่งที่ฉันต้องทำได้แน่ๆ แค่การทำงานในร้านที่เต็มไปด้วยหนังสือ

หนังสือ พวกมันคือหมู่มวลหนังสือ ที่ฉันคงจะมีความสุขเหลือเกิน ถ้าได้อยู่กับพวกมัน

“ฉันขอสมัครได้มั้ย”

หลุดปากออกไปอย่างลุกลนทันที

“ฉันทำได้ทุกอย่าง งานหนักก็ไม่เกี่ยง”

“อยากทำจริงหรือ” ชายเจ้าของร้านว่า “แล้วบ้านอยู่ทางไหน ไม่ไปโรงเรียนหรือ?”

“ไม่ได้เรียน” พูดแล้วก็นึกได้ “แต่ฉันอ่านออกทุกอย่าง ฉันทำงานได้แน่นอน”

“อ่านภาษาอังกฤษได้มั้ย”

ใจฉันหล่นวูบทันที

ส่ายหน้า เหมือนน้ำจะท่วมปากในฉับพลัน

“ก็ไม่ต้องใช้หรอก มีแต่เรื่องภาษาไทย ถามไปอย่างนั้นแหละ”

ช่างน่าแปลก ฉันรู้สึกว่าชายเจ้าของร้านคนนี้ดูมีไมตรีกับฉันอย่างมาก กระนั้น ใจก็ยังไหวหวั่น

จะได้…หรือไม่ได้

“อายุเท่าไหร่แล้วเรา”

อีกครั้งหนึ่งที่ฉันพบกับคำถามซึ่งยากจะตอบ ถ้าบอกอายุจริงไป ลางทีเขาอาจจะไม่อยากรับก็ได้

“สิบหก” ตอบออกไป

ฉันคงต้องโกงอายุให้มากขึ้น เพื่อจะมีงานทำให้ได้

“เดี๋ยวก็ได้ทำบัตรประชาชนแล้ว” พูดออกไปอีก “…ให้เงินเดือนเท่าไหร่”

“ตอนนี้ยังอยากจ้างแบบรายอาทิตย์ไปก่อน ค่อยว่ากันอีกที”

“ได้ ยังไงก็ได้”

หัวใจฉันพองเต้นเร่าขึ้นมา จะวันเท่าไหร่ก็ช่าง ขอเพียงให้ฉันคว้ามันมาได้เสียก่อนในตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็จะมีเงินพอสำหรับวันต่อๆ ไป

และถึงจะไม่มีสิทธิ์อ่าน ถ้าเขายังไม่ให้หยิบจับอะไร ถ้าฉันทำงานไปนานๆ…อาจจะพอค่อยๆ ขอยืมหนังสือกลับไปอ่านได้

“แล้วนั่นแขนเป็นอะไร” ยังมีคำถามตามมาอีกอย่าง

ฉันเกือบลืมไปแล้วว่า แขนตัวเองยังมีเฝือกอยู่ มิน่า บางแห่งที่เข้าไปถามงาน จึงรีบปฏิเสธเสีย

“ไม่มีอะไร” รีบตอบออกไปอย่างเร็ว “เดี๋ยวก็เอาออกได้แล้ว”

“แล้วจะยกหนังสือไหวหรือ”

“ไหว ทำได้ นี่ก็ไม่เจ็บอะไร ยกของได้”

 

แต่พี่โฟทำสีหน้าไม่ยินดียินร้าย เมื่อฉันบอกว่าหางานทำได้แล้ว

อาจเพราะจำนวนเงินที่บอกไป

“เขาให้อาทิตย์ละร้อยยี่สิบ มีข้าวให้หนึ่งมื้อ”

“วันละซาวก็ไม่ถึง” พี่โฟว่า “ตกเดือนหนึ่งได้ไม่ถึงห้าร้อยด้วยซ้ำ”

“ไม่เป็นไร ยังดีกว่าไม่ได้สักบาท”

“เถอะ เอาไว้ให้กูหายดี จะดูงานให้มึงอีกที”

ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายและรำคาญใจกับพี่โฟขึ้นมาเต็มที เสือกถุงก๋วยเตี๋ยวที่อุตส่าห์ซื้อมาให้ แล้วถอนใจลุกขึ้น

“ฉันจะหาทำของฉันเอง พี่ไม่ต้องยุ่ง”

พี่โฟเองก็ทำท่ารำคาญฉันเหมือนกัน

“งั้นก็ตามใจมึง แขนเป็นอย่างนั้นยังจะหาเรื่องใส่ตัว”

ฉันไม่โต้ตอบกับพี่โฟอีก เปล่าประโยชน์ที่จะถกเถียงกันต่อไป ใบแดงของฉันหายไปหมดแล้ว ตอนนี้มีแต่ใบสีเขียวมัดรวมกันไว้ หากฉันได้หนังสือเล่มใหม่ๆ มาหนึ่งเล่ม และพรุ่งนี้ฉันกำลังจะมีชีวิตใหม่

กลิ่นน้ำส้มพริกดองโชยเข้าเตะจมูก ด้วยความดีใจที่ได้งานทำ ฉันยังมีใจนึกอยากเอาก๋วยเตี๋ยวมาฝากคนที่ป่วยไข้ แต่จะซื้อสองถุงก็มากเกินไป

ตัวเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักอย่าง

เถอะ สำนึกว่าความหิวไม่ได้เกิดที่ปาก แค่ลำบากแสบร้อนอยู่ในท้อง ไส้อั่วกับข้าวเหนียวยังพอมีเหลือในถ้วย แค่นั้นฉันก็พอใจ

ฉันกำลังจะได้ไปทำงานอีกครั้ง นั่นต่างหากคือทั้งหมดของความหวัง…ม้วนหนังสือที่ยังแนบชิดอยู่กับอกนี้ด้วย