เฉียด | เรื่องสั้น : กิติศักดิ์ ศรีแก้วบวร

เรื่องสั้น | กิติศักดิ์ ศรีแก้วบวร

เฉียด

 

ผมรู้สึกเหมือนหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง โดดเดี่ยวอ้างว้าง ท่ามกลางความมืดมนและเย็นเยียบ ผ่านไปนานเพียงใดไม่อาจรู้ กระทั่งแว่วยินเสียงแหบพร่าอันคุ้นเคย เรียกชื่อผมซ้ำๆ ขณะหันตามทิศทางของเสียงนั้น ลำแสงหนึ่งได้ปรากฏ พุ่งตรงมา พลันกระจายรัศมีเจิดจ้าสว่างวาบ สาดส่องเข้าเต็มหน้า…

“ฟื้นแล้วหรือ…เจ้าเด่น” นั่นเสียงพ่อ ผมจำได้

“บุญรักษาแท้ๆ ลูกเอ๊ย” เสียงอ่อนโยนสั่นเครือของแม่ตามมา

ภาพแรกที่ผมเห็นปรากฏเบื้องหน้านั้นพร่าเลือน แต่ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ เมื่อค่อยๆ เบิกตากว้าง พ่อยื่นมืออันสั่นเทานวดเฟ้นที่หน้าขา สีหน้าโล่งใจ แม่แนบหน้าเข้ามาใกล้ น้ำตาคลอหน่วย ยกมือลูบศีรษะผมแผ่วเบา

ผมเริ่มรู้สึกตัวตอนใกล้เที่ยงในห้องสี่เหลี่ยมสะอาดตา รู้สึกมึนศีรษะ ปวดระบมไปทั่วตัว แขนขามีรอยฟกช้ำเล็กน้อย ต่อมาจึงได้รู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาลประจำจังหวัด และเกิดอะไรขึ้นผมถึงได้สลบไสลข้ามคืนมาอีกวันจากญาติที่มาเยี่ยม

บ่ายวันนั้นเพื่อนที่ทราบเรื่องรุดมาเยี่ยมผมกันหลายคน เล่าว่าตอนนี้ข่าวนายกโต้งขับรถเสียหลักข้ามเลนพุ่งชนกระบะอย่างจัง จนไฟลุกท่วมทั้งคันถูกย่างสดดับอนาถ แพร่สะพัดเป็นข่าวใหญ่ไปทั่ว ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา แต่แทบไม่มีใครพูดถึงผู้รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดในรถอีกคัน…

“มึงรอดมาได้ยังไงวะไอ้เด่น รถพังยับเสียขนาดนั้น” เข้ม-เพื่อนสนิทเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ขณะสำรวจร่องรอยตามเนื้อตัวผม

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีนรกอาจเต็มแล้ว ท่านยมเลยไล่ให้กลับมาก็ได้” ผมพูดติดตลกเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียดในห้อง พลางถอนใจ “เฮ้อ…แต่นายกโต้งนี่สิ เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ เลย”

“กูนึกว่ามึงจะดีใจเสียอีก” เข้มพูดยิ้มๆ

“เรื่องที่ผ่านมา กูอโหสิกรรมให้เขาไปตั้งนานแล้ว” ผมบอกออกไปด้วยสัตย์จริง

ผมต้องนอนดูอาการอีกหนึ่งคืน ยังไม่วายงุนงงสงสัยผมรอดตายมาได้อย่างไร นึกถึงภาพรถบุโรทั่งคู่ใจพังยับเยินเป็นซากในโทรศัพท์มือถือที่เพื่อนให้ดูแล้ว ผมยังขนลุกไม่หาย…

 

ผมเคยได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาเทศบาล หรือชาวบ้านเรียกสั้นๆ ว่า ส.ท. สมัยที่แล้ว โดยมีนายกโต้งรุ่นพี่ของผมได้รับเลือกให้เป็นนายกเทศมนตรีสมัยแรก ทีมงานของเราได้รับเลือกให้เข้าไปบริหารท้องถิ่นกันถ้วนหน้าด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น นายกโต้งใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถแก้ปัญหาชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมได้มากมายหลายเรื่อง ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้นกว่าเก่า ผลงานเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่พอใจของผู้ที่ลงคะแนนให้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครั้งหน้าจะเลือกเป็นนายกเทศมนตรีอีกสมัย

กระทั่งสองปีต่อมา นายกโต้งเสนอโครงการก่อสร้างตลาดสดเทศบาลแห่งใหม่ ทว่า การประมูลงานส่อความไม่โปร่งใสตั้งแต่ต้น ใครอ่านรายละเอียดก็รู้ว่าเป็นการเปิดทางให้ผู้รับเหมารายหนึ่งซึ่งเป็นญาติกันได้งานนี้ ผมเห็นว่าไม่ยุติธรรมและอาจเกิดปัญหาตามมาภายหลัง จึงเสนอในที่ประชุมว่าควรทบทวนแก้ไขให้เป็นไปตามระเบียบราชการก่อนเปิดประมูล แต่ท้ายที่สุด ส.ท.ส่วนใหญ่ก็พากันตามน้ำ คงมีเพียงผมคนที่ใครต่อใครมองว่าทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง ใครจะมองผมเป็นตัวอะไรก็ช่างเถอะ แต่ผมจะไม่ยอมเป็นกิ้งก่าที่ปรับเปลี่ยนสีของตัวเองไปตามสีของเปลือกไม้ที่มันเกาะเด็ดขาด การคอร์รัปชั่นเปรียบเสมือนไฟไหม้บ้าน หากเราไม่คิดจะทำอะไร ก็เท่ากับยืนมองไฟกำลังโหมไหม้บ้านของตัวเองไปต่อหน้าต่อตา

ปีสุดท้ายที่อยู่ในตำแหน่ง ผมระแคะระคายว่านายกโต้งรับเงินทอนจากผู้ประมูลโครงการก่อสร้างสนามกีฬาชุมชน ซึ่งผมคัดค้านโครงการนี้ในที่ประชุมไปว่า ไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ในท้องถิ่น ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาปากท้องอย่างหนักหน่วง จึงเสนอว่าเราน่าจะใช้งบฯ ก้อนนั้นไปทำอย่างอื่นน่าจะเหมาะสมกว่า แต่สิ่งที่นำเสนอไปได้ส่งผลให้จระเข้อย่างผม กลายสภาพเป็นหมาหัวเน่าในทันที!

สี่ปีครบวาระ ถึงคราวเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและ ส.ท.ชุดใหม่ คราวนี้นายกโต้งพ่ายแพ้คู่แข่งหน้าใหม่อย่างฉิวเฉียด แม้ในคืนหมาหอนจะมีเงินสะพัดในหมู่บ้านจนดึกดื่น แต่ไพ่ใบสุดท้ายที่ทิ้งลงมานั้นก็ไม่เป็นผล ขณะที่ผมไม่ได้รับเชิญให้ร่วมทีม ส.ท.เดิมมาตั้งแต่ต้น ซึ่งผมก็ทำใจรับสภาพเอาไว้แล้ว ทั้งยังตั้งใจไว้ว่าจะวางมือจากการเมืองท้องถิ่นอย่างเด็ดขาด ถึงแม้จะมีคนชักชวนไปร่วมเป็น ส.ท.กับทีมใหม่ก็ตาม

กระนั้น ผมก็ดีใจเป็นที่สุดเมื่อเข้มที่ตัดสินใจลงเล่นการเมืองท้องถิ่นเป็นครั้งแรก ชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ได้เข้ามาเป็นนายกเทศมนตรีคนใหม่ของเรา…

ผมกับเข้มอยู่ในชุมชนเดียวกัน เราเกิดห่างกันไม่กี่วัน วิ่งเล่นคลุกคลีตีโมงกันมาตั้งแต่เล็กจนโต เข้มเป็นเพื่อนรักของผมเลยก็ว่าได้ จะมีห่างกันไปบ้างก็หลังจบมัธยมปลาย ด้วยต่างคนต่างต้องเดินในเส้นทางของตัวเอง ผมสนใจเรียนเกษตรศาสตร์ตามความถนัด เขาเลือกเรียนรัฐศาสตร์ตามความใฝ่ฝัน แต่สุดท้ายพอเรียนจบ เราต่างก็ต้องกลับภูมิลำเนาเดิมมาช่วยงานของครอบครัว จนตอนนี้จะสี่สิบกันแล้ว เราคิดเหมือนกันว่าไม่รู้จะหาห่วงมาคล้องคอตัวเองกันทำไม อยู่เป็นโสดอย่างนี้ก็อิสระและมีความสุขดี

ครอบครัวของเข้มมีกิจการโรงสี รับสีข้าวจากชาวบ้านในชุมชนเราและใกล้เคียงมาหลายสิบปี แม้บางปีชาวนาไม่มีเงินจ่ายค่าสีข้าว แต่พ่อของเขาก็ยินดีให้ติดค้างเอาไว้ก่อน พอขายข้าวได้จึงค่อยเอาเงินมาจ่าย แม่ของเขาก็น้ำใจงาม บริจาคเงินทำบุญให้วัดและการกุศลสอยู่เนืองๆ เข้มมีนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่น น้ำท่วมฝนแล้งมักจะชวนผมกับเพื่อนๆ ออกตระเวนช่วยชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนมาอย่างสม่ำเสมอ ด้วยมีจิตสาธารณะเต็มเปี่ยมจึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เมื่อเห็นว่ามีความพร้อมเต็มที่ กอปรกับนายกเทศมนตรีคนเก่าหมดวาระลง จึงตัดสินใจอาสามาทำงานเพื่อท้องถิ่นที่เขาเติบโตมา

หลังได้รับเลือกจากชาวบ้าน นายกเทศมนตรีป้ายแดงก็เดินหน้าทำงานให้ท้องถิ่นอย่างเต็มกำลัง อย่างที่ได้เคยลั่นวาจาไว้ตอนหาเสียง ถึงแม้ว่ายังมีควันหลงความไม่พอใจจากคู่แข่งที่ต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างคาดไม่ถึงคุกรุ่นอยู่ทั่วไป

ก็แน่ละ พวกเขาลงทุนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไปไม่น้อยเลย…

 

ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านได้ไม่กี่วัน พอร่างกายเริ่มปกติดี ผมจึงขับมอเตอร์ไซค์ไปหาเข้มที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างไปราวหนึ่งกิโลเมตรในเย็นวันหนึ่ง

“บ้านเงียบเชียบนะ นี่พ่อแม่มึงไม่อยู่หรือ” ผมเอ่ยทักเข้ม หลังจอดรถไว้ใต้ต้นตะแบก

“ไปทอดผ้าป่าต่างจังหวัด คงกลับกันมาค่ำๆ โน่นแหละ” เข้มละสายตาจากหนังสือระเบียบราชการเล่มโต ชวนให้มานั่งคุยตรงโต๊ะม้าหินที่ลานหน้าบ้าน ก่อนถามกลับมา

“มึงหายดีแล้วเหรอวะไอ้เด่น นี่ถ้ากูไม่รู้จักมึงดี คงต้องเค้นถามแล้วว่า มึงห้อยพระวัดไหน ถึงได้รอดตายราวปาฏิหาริย์มาได้”

ผมยิ้มมุมปาก ให้ความเงียบเป็นคำตอบ ทอดสายตาไปยังศาลพระภูมิใกล้ๆ อันที่จริงเข้มย่อมรู้ดีกว่าใครว่า ผมไม่เคยมีพระดังหรือเครื่องรางของขลังติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร

“กูเชื่อว่ายังไงคนดีอย่างมึงก็ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้หรอกวะ” เข้มเอ่ยอย่างให้กำลังใจผม

“แต่จะเป็นไข้โป้ง หรือไม่ก็ไข้เลือดออกตาย” ผมแกล้งสัพยอกกลับ

“ไอ้นี่ชอบชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อย” เข้มส่ายหน้าระอา

“กรรมเหมือนเงาติดตามตัว และกฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ มึงเชื่อกู” ผมเอาสิ่งที่พ่อเคยสอนมาว่า

“กูว่ามึงน่าจะบวชเป็นมหาให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย” เข้มรีบต่อคำทันที

“จริงสิ ตกลงที่ประชุมกันวันก่อน ได้ข้อสรุปหรือยัง ว่าเทศบาลเราจะเอางบฯ ที่ได้เพิ่มไปทำอะไร” ผมถามความคืบหน้าเพราะพลาดเข้าประชุมช่วงบ่ายวันนั้น ด้วยเกิดอุบัติเหตุกะทันหันขึ้นเสียก่อน

“ชาวบ้านมีความเห็นเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยากให้ทำร้านค้าชุมชน จำหน่ายของกินของใช้จำเป็นแก่สมาชิก เงินทองจะได้หมุนเวียนในชุมชนไม่รั่วไหล ส่วนอีกกลุ่มอยากให้ตั้งสหกรณ์รับซื้อพืชผลทางการเกษตรต่างๆ ของชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อตัดปัญหาการเอารัดเอาเปรียบของพ่อค้าคนกลาง” เข้มจาระไนให้ฟัง ก่อนหันมาถามความเห็นจากผม

“แล้วมึงล่ะ ว่าไงวะเด่น”

“ก็เข้าทีทั้งสองโครงการนะ” ผมพยักหน้าเบาๆ ดีใจที่เห็นคนในชุมชนตื่นตัวพร้อมมีส่วนร่วม “ขึ้นกับความต้องการของชาวบ้านส่วนใหญ่เลย”

“สุดท้ายคงต้องหยั่งเสียงทำประชาคมกัน เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเทศบาลของเรา” เข้มพูดเหมือนเตรียมหาทางออกเอาไว้แล้ว

“เยี่ยมเลยเพื่อน” ผมเอ่ยอย่างภูมิใจในตัวเข้ม

เราสนทนาสารพันปัญหาในท้องถิ่นลามไปถึงระดับประเทศกันจนเย็นย่ำ ผมจึงขอตัวกลับบ้าน ก่อนแสดงความห่วงใยเพื่อนทิ้งท้าย เรื่องที่หลายคนเตือนให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้นในช่วงนี้ ถึงแม้คู่แข่งนายกเทศมนตรีคนก่อนจะไม่อยู่แล้ว ทว่า พรรคพวกที่เสมือนคลื่นใต้น้ำยังมีอยู่

พวกเขาคงไม่อยากเห็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ตำตาอยู่ทุกวันเป็นแน่

 

ขณะที่เข้มเดินมาส่งผมที่ใต้ต้นตะแบก…

“ปัง! ปัง! ปัง!”

เสียงปืนระเบิดขึ้นสามนัดซ้อน ผมรีบหมอบลงด้วยสัญชาตญาณ แต่ทันเห็นคนยิงเป็นชายรูปร่างสันทัดสวมหมวกกันน็อก กระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่บึ่งออกมาจากมุมหนึ่งนอกรั้ว ก่อนเสียงแผดดังของรถจะค่อยๆ เบาลงตามระยะที่ห่างออกไป

ผมได้แต่หันรีหันขวาง พอตั้งสติได้จึงปรี่เข้าไปหาเข้ม ที่สะดุ้งหงายหลังลงไปนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ก่อนเข้าประคองให้กลับมานั่งที่โต๊ะม้าหิน ขณะเขาค่อยยันตัวขึ้นอย่างงงๆ

“มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะเข้ม”

ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นว่า บริเวณเสื้อของเขาคล้ายถูกเจาะ เกิดรอยกระจุกตัว พร้อมกับได้กลิ่นไหม้บางเบา ขณะความเงียบแผ่คลุมไปทั่วบริเวณบ้าน ลมกระแสหนึ่งพัดมาอย่างแรง ใบไม้แห้งปลิวว่อน พลันผมเหลือบเห็นพื้นทรายตรงที่เข้มล้มลง มีลูกตะกั่วสามเม็ดตกกระจายอยู่

เมื่อเข้มเลิกเสื้อขึ้น ผมต้องตกตะลึง! เมื่อปรากฏรอยจ้ำแดงเกาะกลุ่มกันอยู่แถวหน้าอกซ้าย โดยไม่มีบาดแผลอื่นใด ผมเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจนัก จึงอยู่เป็นเพื่อนเข้มจนพ่อแม่ของเขากลับมา ก่อนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทราบ

พร้อมนัดเข้มพรุ่งนี้เช้าจะไปแจ้งความด้วยกัน

 

คืนนั้นผมได้แต่ครุ่นคิดสับสน ยังฉงนกับสิ่งที่ผมกับเข้มเพิ่งประสบกันมา แล้วจู่ๆ ผมก็นึกถึงวันที่ไปเข้าร่วมพิธีแช่ว่าน ซึ่งแรกทีเดียวผมไม่ได้สนใจนัก แต่ทนการรบเร้าคะยั้นคะยอของเข้มไม่ได้ จึงตกลงไปเป็นเพื่อน ทั้งที่โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้เชื่อในพิธีอะไรนั่นนัก ทว่า ผมก็ไม่เคยคิดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเรื่องราวบางอย่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้

ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ถึงแม้พิธีกรรมต่างๆ นั้นจะศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ก็คงไม่อาจชุบตัวคนชั่วให้กลายเป็นคนดีได้ อีกอย่างคนที่คล้องพระเครื่องจนเต็มคอ แต่ถ้าปราศจากศีล ก็คงไม่ต่างจากวัวควายแขวนกระดิ่งเท่าใดนัก

พิธีแช่ว่านยาของวัดเขาอ้อ-สำนักตักศิลาแห่งแดนใต้ เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์จากตำราพระเวท มีเพียงปีละครั้ง คนโบร่ำโบราณว่าผู้ผ่านพิธีกรรมนี้จะหนังเหนียวยิงแทงไม่เข้า แคล้วคลาดจากภยันตรายได้ทุกอย่าง

การเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ทำให้ผมได้รู้ว่า ผู้สืบทอดวิชาแช่ว่านต้องใช้เวลาเดินขึ้นเขาไปทำพิธีกรรมหาว่านยา ซึ่งกว่าจะได้มาแต่ละชนิดต้องใช้เวลาหลายเดือน ต่อจากนั้นว่านยาร้อยแปดชนิดจะถูกนำมาต้มรวมด้วยความร้อนจัด เพื่อให้ตัวยาไหลซึมออกมาผสมกัน

น้ำว่านร้อนๆ ในรางยาโชยกลิ่นตลบอบอวล ขณะแช่อยู่นั้นทำเอาผมและทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก คันยุบยิบตามเนื้อตัวไปหมด แต่สักพักก็รู้สึกชิน

เราลงแช่ในรางกลุ่มละห้าคน เข้มกับผมอยู่กลุ่มเดียวกัน โดยมีนายกโต้งกับคนใกล้ชิดสองสามคนอยู่อีกกลุ่ม ด้วยต้องสลับกันแช่ครั้งละสองชั่วโมงแล้วขึ้นพัก วันต่อมาผมรู้สึกขมคอมาก ทั้งที่ไม่ได้กินน้ำว่านยาเข้าไปแต่อย่างใด ชายชราผู้ประกอบพิธีอธิบายให้กระจ่างว่า นั่นแสดงว่าว่านยาได้ซึมซาบเข้าร่างกายแล้ว ทั้งกำชับข้อห้ามสำคัญ คือตลอดพิธีสามวันสองคืนผู้เข้าร่วมพิธีต้องรักษาศีลและห้ามออกจากวัดเป็นอันขาด

หลังเสร็จสิ้นพิธีแช่ว่านในตอนสายของวันสุดท้าย ผู้เข้าร่วมพิธีต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยความอ่อนเพลีย เข้มมีรถของครอบครัวมารับ เขาจึงชวนผมกลับด้วยกัน ทั้งยังอาสาไปส่งถึงบ้าน

ขณะที่นายกโต้งขับรถบีเอ็มสีเขียวซึ่งมาจอดไว้ตั้งแต่วันแรกออกไปจากวัดอย่างรวดเร็ว เมื่อกลับถึงบ้านผมจึงรีบขับรถยนต์คันเก่าของพ่อเข้าไปทำธุระในตัวเมือง

ขากลับผมต้องทำเวลาเพื่อมาให้ทันประชุมของเทศบาลเวลาบ่ายโมง แต่เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุรถยนต์สีเขียวคุ้นตาคันนั้นก็พุ่งฝ่าแนวต้นไม้ตรงร่องกลางถนน แฉลบข้ามเลนมาปะทะด้านขวาของรถอย่างเร็วและแรง เสียงโครม! ดังสนั่นหวั่นไหว จนรถหมุนคว้างไม่อาจนับรอบ

เสี้ยวนาทีที่ตัวผมกำลังถูกเหวี่ยงจนศีรษะคะมำ ทำอะไรไม่ถูกนั้น ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาห่มคลุมตัวผมไว้ เย็นซ่านไปทั่วร่างราวน้ำมนต์ประพรม พลันแว่วเสียงพระสวดเข้ามาในโสต คล้ายว่าผมจะเคยได้ยินบทสวดนั้นขณะแช่ว่านอยู่ในวัดเมื่อวันก่อน

แล้วสติสัมปชัญญะของผมก็ขาดหาย ไม่รู้สึกใดๆ อีกเลย… •