พูดแล้วทำ ทำแล้วโดน

ใครก็รู้ว่าผู้มีอำนาจในปัจจุบันเก่งเรื่องการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือดำเนินการทางการเมืองขนาดไหน

ดูจากก่อนการเลือกตั้งปี 2562 จู่ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์ นักการเมืองท้องถิ่น บ้านใหญ่จำนวนไม่น้อย ย้ายไปซบพรรคการเมืองของผู้สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหารปี 2557 เกิดการตั้งข้อสังเกตกันมากมายในช่วงนั้น เพราะหลายคนที่มีคดีความเป็นชนักติดหลัง

นั่นคืออีกหนึ่งบทเรียนที่ตอกย้ำว่า นอกจากทรัพยากรที่จับต้องได้จะเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ทรัพยากรที่จับต้องไม่ได้ อย่างกฎหมายและคดีความ ก็เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองอย่างสำคัญเช่นกัน อยู่ที่ผู้มีอำนาจจะเลือกนำมาใช้ช่วงใด เวลาใด บริบทใด

เมื่อผลเลือกตั้งปี 2562 ออกมา ท่ามกลางภาวะฝุ่นตลบ หากยังจำได้ วันนั้นพรรคขนาดกลางอย่างภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์เนื้อหอมที่สุด มีความสำคัญในระดับเป็นตัวแปรจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย แม้จะได้ ส.ส.แค่หลักห้าสิบกว่าคน

ท้ายที่สุด ลงเอยด้วยพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์เข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าไปนั่งเก้าอี้ในกระทรวงเกรดเอ แลกกับการยกมือให้ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ดำรงตำแหน่งมาแล้วกว่า 5 ปีจากการยึดอำนาจ เป็นนายกฯ ต่ออีก 4 ปี

วันนั้น อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้เหตุผลหลักใหญ่ใจความในการเข้าร่วมว่า เพราะต้องการปิดสวิตช์ คสช. เนื่องจากวันนั้นอำนาจของรัฐบาล คสช.ยังอยู่ โดยเฉพาะ ม.44 ที่ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ จึงจำเป็นต้องเข้าร่วมเพื่อตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อให้อำนาจนอกระบบยุติลง

 

จะเชื่อหรือไม่เชื่อคำอธิบายนี้ก็แล้วแต่มุมมอง แต่ไม่ว่าอย่างไร รัฐนาวาลำนี้ก็แล่นมาจนเกือบจะถึงฝั่งครบ 4 ปี ในสภาพบอบช้ำ ลำเรือรั่วพรุนแทบจะลอยต่อไม่ได้

ขณะที่สถานการณ์พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ช่วงท้ายก่อนปิดสมัยประชุมสภาก็ดูเหมือนจะดี มี ส.ส.ย้ายเข้ามาสังกัดพรรคจำนวนมาก ทั้งฝากฝ่ายค้านและฝั่งรัฐบาล ด้วยความเชื่อที่ว่า ไม่ว่าแกนนำหลักจัดตั้งรัฐบาลหน้าจะเป็นพรรคไหน ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ หรือฝ่ายต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมามีอำนาจ อย่างน้อยพรรคอย่างภูมิใจไทยก็เข้าร่วมกับทุกฝ่ายได้หมด เป็นรัฐบาลแน่นอน

ความหวังพุ่งสุด ระดับที่อนุทินประกาศเสียงดังฟังชัดกลางเวทีปราศรัยหลายเวที พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

“หนู” วันนี้ ไม่ช่วยราชสีห์แล้ว แต่จะขอเปลี่ยนสถานะเป็น “ราชสีห์” เสียเอง

 

ท่ามกลางการเดินหน้าหาเสียงเต็มสูบของภูมิใจไทย พลันเกิดสายฟ้าฟาดในทางการเมือง จู่ๆ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ สั่ง “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยปมถือหุ้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น

ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ศักดิ์สยามอยู่ระหว่างกำลังจะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในต่างจังหวัด ต้องยุติการทำหน้าที่และชี้แจงผ่านทางไลน์ทันที ว่ารับทราบคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ และหยุดปฏิบัติภารกิจแล้ว จะชี้แจงข้อกล่าวหาไปตามกรอบเวลาภายใน 15 วัน เตรียมคำชี้แจงไว้เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่าถอนหุ้นจากบริษัทดังกล่าวก่อนเป็นรัฐมนตรีแล้ว

ต่อจากนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะทำหน้าที่วินิจฉัยตามมุมมองทางกฎหมายในขณะนี้ ศักดิ์สยามจึงยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพราะยังไม่มีคำพิพากษาจากศาลฎีกาออกมา

 

ขณะเดียวกันยังเจอพายุลูกแรงที่ก่อโดยเสี่ยอ่าง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อย่างเรื่องที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่เสี่ยอ่างออกมาเปิดเผยข้อมูลความไม่ชอบมาพากล (ที่ก็เป็นข้อมูลชุดเดียวกับที่ ส.ส.ฝ่ายค้านเคยอภิปรายในสภา แต่ก็ถูกขุดขึ้นมายำในช่วงนี้อีก) กลายเป็นคำถามที่ทับถมกับเรื่องอื่นๆ ที่ถูกสงสัยมาก่อนหน้านี้ ลุกลามไปจนถึงการเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

ก่อนที่ชูวิทย์จะไปยื่นหนังสือถึงอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อยับยั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และยังขอให้ดำเนินคดีผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เรื่องการออกโฉนดที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นที่ดิน ร.ฟ.ท.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ด้านอธิรัฐซึ่งเป็นรัฐมนตรีโควต้าพลังประชารัฐ ก็กลัวเผือกร้อน สั่งชะลอลงนามโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มทันที ย้ำว่าคดีไม่เคลียร์ไปต่อไม่ได้

ร้อนจน เสธ.หิ “หิมาลัย ผิวพรรณ” แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่นับว่าสนิทกับชูวิทย์ ต้องชี้แจงขึงขังจนหน้าแดงกับสื่อมวลชน ยืนยันว่า ไม่มีสมรู้ร่วมคิด หรือจับมือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ให้ออกมาโจมตีพรรคภูมิใจไทย ตามที่ถูกกล่าวหา ยืนยันว่าตนเคารพนายเนวิน ชิดชอบ ไม่ต้องการมีปัญหากับใคร

ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดินเขากระโดง หรือรถไฟฟ้าสายสีส้ม ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ซีเรียสยิ่งกว่าคดีหุ้นสื่อของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เสียอีก โดยเฉพาะจากกรณีที่ชูวิทย์กล่าวหา โดยเล่าเรื่องเส้นทางการเงินลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯ เงินเดือนน้อยนิด แต่กลับมีรายชื่อปรากฏถือหุ้นหลักร้อยล้าน มีรายชื่อบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทยหลายล้านบาท รับงานก่อสร้างของกรมทางหลวงหลายโครงการ มูลค่าพันล้านบาท จนเป็นข่าวดัง

เกมนี้จึงเป็นเกมที่น่าจะคิดหนักสำหรับภูมิใจไทย เพราะเป็นอะไรที่เสี่ยงติดคุกไปจนกระทั่งยุบพรรค

ยังไม่นับกรณีศักดิ์สยามถูก ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ กรณียื้อเวลาออกใบอนุญาตธุรกิจการบิน ทำให้บริษัทเอกชนได้รับความเสียหาย ในเวลาแทบจะวันเดียวกัน

สร้างความมึนงงกับคนภูมิใจไทยเองไม่น้อย ว่ากำลังจะยุบสภาดีๆ หมดสมัยรัฐบาลนี้อยู่แล้ว ทำไมจู่ๆ ภูมิใจไทยเจอแต่ประเด็นร้อน กลายเป็นตำบลกระสุนตก (หนัก) ต่อเนื่องขนาดนี้

 

ตําแหน่งหนึ่งของศักดิ์สยาม คือ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ใครๆ ก็รู้ว่าศักดิ์สยามสำคัญขนาดไหนในภูมิใจไทย ใดๆ ที่กระทำต่อศักดิ์สยาม ย่อมส่งผลกระทบต่อภูมิใจไทย, อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคที่กอดคอกันเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีมาด้วยกัน และโดยเฉพาะ เนวิน ชิดชอบ ในฐานะครูใหญ่ประจำพรรค

ความที่เป็นเลขาธิการพรรค นั่นคือผู้กุมอำนาจในเชิงทรัพยากรสำคัญ ว่ากันว่าในเชิงความพร้อมเรื่องทรัพยากรในการเลือกตั้ง ภูมิใจไทยไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเชิงบุคคลที่มีความเพียบพร้อม บ้านใหญ่ต่างๆ อดีต ส.ส.-ว่าที่ผู้สมัครเบอร์ดังเพียบพร้อม

“ศักดิ์สยาม” ในฐานะเลขาธิการพรรค จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้ง 2566 ที่จะถึงนี้

มากกว่านั้น ต้องไม่ลืมความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลกันเอง จากผลการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่การเมืองแบบภูมิใจไทยไปตีบ้านใหญ่ภาคใต้หลายเขตกระจุย เกิดความขัดแย้งกับคนประชาธิปัตย์หลายคน ลามไปจนถึงความขัดแย้งในระดับนโยบายและกฎหมาย เช่น กรณีกฎหมายกัญชา กัญชง พรรคร่วมรัฐบาลจำนวนไม่น้อยจับมือพรรคฝ่ายค้านลุกขึ้นสกัดถ้วนหน้า

พอถึงฤดูเลือกตั้ง ความสำคัญของเกมนี้เป็นเรื่องของเก้าอี้ ส.ส.ที่ต้องกวาดมาให้ได้มากที่สุดเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง แม้จะเคยร่วมรัฐบาลกันมาก่อน พอถึงคราวเลือกตั้งก็แยกทางกัน ไม่ต้องดูไกล ตัวอย่างความขัดแย้ง 3 ป.นั่นแหละ

ความเติบโตของภูมิใจไทยในแง่ทรัพยากร ความพร้อมในแง่บุคคล ที่คนการเมืองได้สัมผัส เมื่อเทียบกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่ลงสนามเลือกตั้ง ต้องยอมรับว่า ภูมิใจไทยมีความพร้อมมากที่สุด ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นยังตีกันเรื่องผู้สมัครอยู่เลย

ดังนั้น หากระหว่างนี้จะเกิดปรากฏการณ์ส่งสัญญาณต่างๆ เพื่อสกัดการเติบโตทางการเมืองของภูมิใจไทย ก็คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองมันเป็นเรื่องผลประโยชน์และการต่อรองทางอำนาจ

ภาษาการเมืองเขาเรียกอาการ “เตะตัดขา” ไว้หลังเลือกตั้งเสร็จได้ตัวเลขต่างๆ แล้วค่อยมาสงบศึกแล้วเปิดดีลกัน

 

เรื่องนี้อนุทินรับรู้ เข้าใจ และตอบคำถามสื่อที่ถามเรื่องมองว่าถูกเตะตัดขาหรือไม่ว่า เพราะทำงานเยอะ เป็นฝีมือฝ่ายตรงข้ามที่เห็นว่าประเด็นต่างๆ โดนใจประชาชน ถ้าปล่อยไป จะได้คะแนนมากขึ้น มีช่องก็สกัดไว้ก่อน

แต่ก็นั่นแหละ จนถึงวันนี้ที่ทุกพรรคต่างถูกโครงสร้างรัฐธรรมนูญ 2560 รวมถึงโครงสร้างการเมืองจากมรดกรัฐบาลทหารที่สืบทอดมา เล่นงาน เบาบ้างหนักบ้าง ฝ่ายค้านบางครั้งจึงไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง ฝ่ายรัฐบาลกันเองบางครั้งก็ไม่ใช่มิตร ด้วยระบบที่ออกแบบให้การเมืองอัดแน่นไปด้วยพื้นที่การเมืองสีเทา

สิ่งที่เกิดขึ้นกับภูมิใจไทยและชะตากรรมของศักดิ์สยาม จึงมิอาจมองได้อย่างตรงไปตรงมา โดยตัดขาดจากบริบท

ไม่แปลกที่จะมีคนมองว่าเป็นปฏิบัติการเตะตัดขา ที่บางครั้ง ระดับการหวังผลอาจจะไม่ได้ต้องการผลทางกฎหมายจริงๆ เพียงแต่ต้องการผลทางการเมืองในลักษณะของการ “ขู่” หรือส่งเสียง “เตือน” ดังเช่นเดียวกับปฏิบัติการกฎหมาย-ปฏิบัติการการเมือง ที่เกิดขึ้นกับบ้านใหญ่ต่างๆ ก่อนการเลือกตั้งปี 2562

ว่าหากจะมองไปที่เก้าอี้ผู้นำรัฐบาล ก็ควรเกรงใจกันบ้าง

พูดแล้วทำ ทำแล้วโดน เป็นเรื่องธรรมดาในเกมนี้ เกิดขึ้นมาแล้ว และจะเกิดอีก ให้รู้ซะบ้างว่าใครใหญ่…