ไร้ค่า-มีค่า | หนุ่มเมืองจันท์

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ตอนที่ “แท็ป” รวิศ หาญอุตสาหะ เข้ามารับผิดชอบ “ศรีจันทร์” อย่างเต็มตัว

เขาอายุประมาณ 26-27 ปี

“แท็ป” เคยเล่าว่าเขาคิดง่ายๆ ว่าถ้าล้มเหลวด้วยอายุเท่านี้ ก็สามารถหางานใหม่ทำได้

ปัญหาที่เจอมีทั้งเรื่องผลิตภัณฑ์ที่มีอายุยาวนานดูแก่ ยอดขายตกลงเรื่อยๆ กระบวนการผลิตก็ล้าสมัย

พนักงานแต่ละคนก็อายุมากกว่าเขา

“แท็ป” อายุน้อย และไม่มีประสบการณ์เรื่องเครื่องสำอางเลย

เขาย่อมไม่เป็นที่ยอมรับของพนักงาน

“แท็ป” บอกว่าสิ่งแรกที่ทำให้พนักงานทุกคนเห็นก็คือ เขาทำงานหนัก

ทุกวันเขามาทำงานก่อน และอยู่จนค่ำ

“บางวันงานเสร็จแล้ว แต่ก็อยู่ในห้องทำงาน เพื่อให้ลูกน้องคิดว่าเรายังทำงานอยู่ ทั้งที่บางทีก็เปิดคอมพ์เล่นเกม”

เขาแอบเฉลยตอนหลัง

“แท็ป” เข้ามาปรับรูปแบบการทำงานใหม่ เอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา

พนักงานหนุ่มสาวไม่มีปัญหา แต่พนักงานที่มีอายุรับมือกับสิ่งใหม่ไม่ได้

เพราะแต่ละคนไม่เคยสัมผัสคอมพิวเตอร์มาก่อน

แล้วจะทำอย่างไร?

สำหรับโลกยุคใหม่ คนกลุ่มนี้ถูกมองว่าไร้ค่า

เพราะไม่เท่าทันโลกที่หมุนเร็วมาก

บางองค์กรเลือกวิธีการง่ายๆ คือ จ่ายชดเชยแล้วให้ออกจากงาน

หรือให้ “เออร์ลี่ รีไทร์”

แล้วเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่เข้ามา

แต่ “แท็ป” ทำไม่ลง เพราะพนักงานเก่าแก่เหล่านี้อยู่มาตั้งแต่รุ่นลุง

ในขณะเดียวกัน เขาก็มองเห็นศักยภาพบางอย่างที่ “คนรุ่นเก่า” มีมากกว่า” เด็กรุ่นใหม่”

นั่นคือ ความซื่อสัตย์และรักองค์กร

2 เรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับองค์กรธุรกิจ

เป็น DNA ที่ดีมาก องค์กรไหนก็อยากมี

และที่ “ศรีจันทร์” มี

“แท็ป” ตัดสินใจปรับองค์กร โยกพนักงานผู้อาวุโสทั้งหมดไปทำงานหน้าที่ใหม่

นั่นคือ ฝ่ายที่เกี่ยวกับการเจรจาต่อรอง อย่างเช่น จัดซื้อ

เพราะผู้ใหญ่กลุ่มนี้ซื่อสัตย์ ไม่โกง

และรักองค์กรมาก

พยายามประหยัด ทำให้บริษัทจ่ายน้อยที่สุด

“บางครั้งเห็นเขาต่อราคาแล้ว ผมสงสารคู่ค้าเลย”

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พนักงานรุ่นใหม่ทำไม่เป็น และทำไม่ได้

หลังการโยกย้าย พนักงานรุ่นใหญ่มีความสุขมากที่ช่วยรักษาผลประโยชน์ให้บริษัท

จากคนที่เหมือนกับไร้ค่าสำหรับองค์กรรุ่นใหม่

วันนี้ทุกคนกลายเป็นคนที่มีคุณค่ากับองค์กร

เพียงแค่หาตำแหน่งที่เหมาะสมเจอ

…โลกนี้ไม่มีอะไรที่ไร้ค่า

 

“พี่เก้ง” จิระ มะลิกุล ก็เช่นกัน

ตอนไปทำหลักสูตรหนังสั้นให้ ABC ครั้งล่าสุด

มีคุณหมอติ๊กจากโรงพยาบาลรามคำแหงเดินมาทัก

เขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล

ผมเพิ่งรู้ว่าตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย “พี่เก้ง” เรียนสายวิทย์

สมัยนั้นเขาถือว่าเด็กเรียนเก่ง ต้องเรียนสายวิทย์

ถ้าเรียนสายศิลป์ คือ เด็กไม่เก่ง

“พี่เก้ง” จึงต้องมาเรียนสายวิทย์

ทั้งที่ไม่ชอบวิชาฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เลย

“ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่เก่งเลย”

จนช่วงสอบเอนทรานซ์ เขาจึงเลือกคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เพราะดูหนัง “เมืองในหมอก” แล้วอยากเป็น “เพิ่มพล เชยอรุณ” ผู้กำกับการแสดง

คนคลั่งไคล้เรื่องหนังอย่าง “พี่เก้ง” พอเข้าสู่คณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งสอนแต่วิชาที่เขาชอบ

เหมือนปลาได้น้ำเลยครับ

รังสีความเก่งแผ่กระจาย

เพียงแค่ย้ายคนคนนี้จากห้องฟิสิกส์ มาเป็นห้องฉายหนังเท่านั้นเอง

จาก “คนไม่เก่ง” กลายเป็น “คนเก่ง”

ทั้งที่เป็น “คนเดิม”

 

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของ “เอลิส” บริษัทรถยนต์ให้เช่ารายใหญ่ของโลก

แต่เขาไม่ใช่ “เบอร์หนึ่ง”

“เอลิส” เป็น “เบอร์สอง”

บริษัทรถยนต์ให้เช่ารายใหญ่ที่สุดในโลก คือ “เฮิร์ทซ์”

ตามปกติการโฆษณาสินค้าทั่วไป ถ้าเป็น “เบอร์หนึ่ง” เขาจะประกาศเลยว่าเขาเป็น “เบอร์หนึ่ง”

ให้ทุกคนรู้เลยว่าใครใหญ่ที่สุดในสนามนี้

เพราะคนมักคิดว่าสินค้าที่เป็น “เบอร์หนึ่ง” คือ สินค้าที่ดีที่สุด

ส่วนเบอร์สอง เบอร์สาม หรือเบอร์อื่นๆ ก็จะหลบเลี่ยงที่จะพูดเรื่องความใหญ่

เพราะพูดแล้วก็เสียเปรียบ

ทุกรายมักจะหลบไปพูดเรื่องอื่น เช่น ความสวย ความทันสมัย ความฉับไว ฯลฯ

สู้ในสนามที่แข่งขันได้

แต่ “เอลิส” คิดสวนทาง

ประกาศเลยว่าเขาไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุด

“เอลิส” เป็น “เบอร์สอง”

แล้วบอกเลยว่าทำไมลูกค้าควรเลือกเขา

เพราะการเป็น “เบอร์สอง” ทำให้เขาต้องพยายามมากกว่า “เบอร์หนึ่ง”

การให้บริการและดูแลลูกค้าจึงดีกว่า

ซัดกันตรงๆ แม้ไม่เอ่ยชื่อ “เฮิร์ทซ์”

“เอลิส” ไม่ได้มองว่าการเป็น “เบอร์สอง” คือ สิ่งที่ไร้ค่า

เขาเห็นคุณค่าของการเป็นมวยรอง

และใช้ความเป็น “เบอร์สอง” ให้เป็นประโยชน์

เพราะคนที่อันดับต่ำกว่าจะพยายามมากกว่า

อ่อนน้อมมากกว่า

เป็นการแปร “จุดอ่อน” ให้เป็น “จุดแข็ง”

 

เย็นวันหนึ่ง ผมไปเดินออกกำลังกายรอบทะเลสาบในหมู่บ้าน

เดินครบรอบก็เจอแมวจรสีดำยืนร้องเรียก

เข้าไปใกล้ ก็เดินเข้ามาคลอเคลีย เอาหัวถูขาผม

ร้องเหมียว-เหมียว ตลอด

ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนที่มีเสน่ห์มากเลย

ขนาดแมวยังหลง

เดินผ่านไปอีกรอบก็เข้ามาร้องและคลอเคลียเหมือนเดิม

ทำตัวเหมือนรู้จักกันมานาน

อาการแบบนี้คงหิวแน่นอน

ผมรีบเดินเข้าบ้าน เอาอาหารแมวที่บ้านใส่ถุงเล็กๆ วางพื้นให้กับเจ้าเหมียว

วิเคราะห์ถูกต้องเลยครับ

เจ้าแมวน้อยรีบเดินมากินอาหารอย่างหิวโหย

ผมดูแวบหนึ่ง แล้วเดินออกกำลังกายต่อ

ครบรอบ เจอเจ้าเหมียวอีกครั้ง

มันกินอิ่มพอดี

ผมร้องทัก กะว่าจะเกาคางเล่นอีกสักนิดก่อนเข้าบ้าน

เจ้าเหมียวมองหน้า

แล้วเดินเมินออกไปเหมือนไม่รู้จักกัน

น่าหมั่นไส้มาก

พอเปลี่ยนตำแหน่งจาก “แมวหิว” เป็น “แมวอิ่ม”

ผมกลายเป็น “คนไร้ค่า” ไปเลย •

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์

www.facebook.com/boycitychanFC