รายงานพิเศษ / วัดใจ วัดดวง “บิ๊กตู่” จาก “ครม. พี่ เพื่อน น้อง” สู่พรรคทหาร ตรึงแผง “3 ป.” จัดทัพรับศึกเลือกตั้ง ตรวจแถว รมต.ทหาร

รายงานพิเศษ

วัดใจ วัดดวง “บิ๊กตู่”

จาก “ครม. พี่ เพื่อน น้อง”

สู่พรรคทหาร ตรึงแผง “3 ป.”

จัดทัพรับศึกเลือกตั้ง ตรวจแถว รมต.ทหาร

การปรับคณะรัฐมนตรีในยุคเปลี่ยนผ่าน กำลังเป็นที่จับตามองว่า บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะบริหารจัดการกับแรงกดดันต่างๆ จากหลายทิศทางอย่างไร

ทั้งเสียงเชียร์ให้กล้าปรับ “เพื่อน พี่ น้อง” ออกจาก ครม. อย่างไม่ต้องเกรงใจ แต่ให้ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก

ถึงขั้นที่ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เองก็ยังเดาใจ เดาแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ น้องรักไม่ออกว่าจะตัดสินใจอย่างไร

จนต้องออกตัวว่า “ผมยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าผมจะอยู่หรือจะไป”

ด้วยเพราะคราวนี้ พล.อ.ประวิตร รู้ดีว่ามีปัจจัยมากกว่าที่เคย เพราะหากเป็นแค่ลำพัง พล.อ.ประยุทธ์ น้องรักที่สนิทสนม จนไม่มีคำใดมานิยามความสัมพันธ์ที่อยู่เป็นพี่น้องมาด้วยกันยาวนานกว่า 40 ปี เขาก็คงจะเดาใจน้องตู่ได้ว่า ไม่มีวันที่จะปรับพี่ใหญ่ และพี่รองอย่าง บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พ้น ครม. แน่

เพราะร่วมหัวจมท้ายกันมา ผ่านวิกฤตต่างๆ ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน

ยกเว้นมีปัจจัยอื่น ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อาจปฏิเสธได้ เข้ามาประกอบการพิจารณา

“นายกฯ ไม่ต้องเกรงใจผม ปรับได้เลย เพราะปกตินายกฯ ปรับคนเดียวอยู่แล้ว” พล.อ.ประวิตร กล่าว

นั่นจึงทำให้ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร เป็นคนแรกที่ยอมรับว่าอาจมีการลดสัดส่วนทหารใน ครม. “ประยุทธ์ 5” ลง

แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ได้ขานรับการปรับลดทหารใน ครม.ใหม่ลง จนต้องเอ่ยปากถามว่า “ทำไมจะต้องรังเกียจทหาร”

แต่ก็เชื่อกันว่า จะมีทั้งรัฐมนตรีที่เป็นทหาร ต้องหลุด ครม. และมีบิ๊กทหารคนใหม่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทน

โดยมี บิ๊กฉัตร พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เพื่อน ตท.12 ของนายกฯ เป็นเป้าหมายใหญ่ จนเจ้าตัวเอ่ยปากว่า “ใครมาเป็น รมว.เกษตรฯ ก็ต้องโดนกันทุกคน”

แต่ พล.อ.ฉัตรชัย โดนหนักกว่า เพราะเป็นเพื่อนนายกฯ และถูกมองว่าเพราะเหตุใดนายกฯ ไม่เคยปรับหลุด ครม. มีแต่ย้ายกระทรวง และมักจะเอ่ยปากปกป้อง ชี้แจง แทนเสมอ

“ไม่ใช่กล่องดวงใจผม เพราะกล่องดวงใจผมคือครอบครัว” พล.อ.ประยุทธ์ สยบเสียงเม้าธ์

“ไม่ใช่กล่องเงินของผมด้วย ผมทำเองได้” นายกฯ เอ่ยปากสยบข่าวลือนี้

แต่เพื่อน ตท.12 ก็เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ปรับ พล.อ.ฉัตรชัย ออกจาก ครม. แต่อาจมีย้ายกระทรวง

รวมถึงนายทหารน้องรักอีกหลายคน ทั้ง บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม น้องรักในสายทหารเสือราชินี ที่จะถูกขยับขยายไปนั่งว่าการในกระทรวงใดหรือไม่

แต่เชื่อกันว่า หาก ครม.ใหม่ จำเป็นต้องไม่มี พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ด้วยเหตุของ “ความจำเป็น” หรือสถานการณ์พิเศษแล้ว พล.อ.อุดมเดช ก็น่าจะเป็นคนดูแลกองทัพได้

รวมทั้ง บิ๊กโย่ง พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน น้องรักนายกฯ และ บิ๊กเต่า พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรฯ เพื่อนรักเพื่อนซี้ ตท.12 ของนายกฯ ที่โตมาในก๊วน “Young Fellow” ด้วยกัน

แต่ที่ต้องจับตามองคือ พล.อ.ประยุทธ์ จะแตะต้องคนที่เป็น คสช. หรือไม่ เช่น ระดับรองนายกฯ ทั้ง พล.อ.ประวิตร พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง

และ บิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกฯ และอดีต ผบ.ทร. ที่ถูกมองว่าเป็นรัฐมนตรีโลกลืม ทั้งๆ ที่ทำงานหนัก เพียงแต่ยึดคติที่ว่า “เราไม่ใช่นักการเมือง เราไม่จำเป็นต้องโปรโมตตัวเองไปหาเสียงหาคะแนน”

จนทำให้ พล.ร.อ.ณรงค์ ทำงานแบบไม่เป็นข่าวและไม่ต้องการให้ทีมงานออกข่าวหรือให้ข่าวที่เกี่ยวกับตนเองด้วย และก็ทำใจ พร้อมที่จะไปพักผ่อน หากนายกฯ ตัดสินใจ

รวมทั้ง บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ เพื่อน ตท.12 ของบิ๊กตู่ ที่ก็เปิดทางให้นายกฯ ตัดสินใจได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจเพื่อน

“ผมอยู่มา 3 ปีแล้ว ผมก็ว่ามันนานเกินไปหน่อยแล้ว” บิ๊กเจี๊ยบเปรย

ก่อนยืนยันว่า “หากนายกฯ ให้ทำงานก็ทำ แต่ถ้าไม่ให้ทำ ก็ไม่มีปัญหา ก็จะทำอย่างดีที่สุด จนถึงวันสุดท้าย” พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าว

ด้วยเพราะมีกระแสข่าวการแยก คสช. และรัฐบาลออกจากกัน ในการปรับ ครม. ครั้งนี้ เพื่อให้ภาพพจน์รัฐบาลดีขึ้น โดยเหลือ พล.อ.ประยุทธ์ ควบนายกฯ และหัวหน้า คสช. ไว้คนเดียว

ส่วนคนที่เป็น คสช. ก็จะแยกออกไปทำงานในนาม คสช. ล้วนๆ ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับรัฐบาล ซึ่งก็หมายรวมถึง พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ ด้วย

แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะสละเก้าอี้หัวหน้า คสช. ด้วยการให้ พล.อ.ประวิตร เป็นแทนนั้น ก็ไม่น่าจะใช่หนทางที่ดี เพราะแม้จะเป็นพี่รักที่ไว้วางใจได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะกล้าให้ถืออำนาจมาตรา 44 แทน

และต้องไม่ลืมว่า หลักคิดที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เอา คสช. มาเป็นรัฐบาล ก็เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เช่นนั้น หากแยกคณะปฏิวัติออกจากรัฐบาล ก็อาจนำมาซึ่งความขัดแย้ง ไม่ลงรอยกันได้

แต่ 3 ปีที่ผ่านมา นายกฯ คือหัวหน้า คสช. และแกนนำรัฐบาลคือบอร์ด คสช. แต่ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่มาตัดสินใจพลิกโฉมหน้ารัฐบาลให้เป็นพลเรือนมากขึ้น ด้วยการสลัดคราบ คสช. ออกไป

จึงมีบิ๊กทหารหลายคนใน ครม. ถูกจับตามองว่าจะหลุดเก้าอี้หรือไม่ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกตัวให้ทุกคนเข้าใจในความจำเป็นที่ต้องปรับ ครม. และอย่าน้อยใจ หรือโกรธ หากใครต้องหลุดไปพักผ่อนก่อน

แม้ว่า พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ จะกลายเป็นเป้าถูกโจมตี ไม่แตกต่างไปจาก พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นแผงอำนาจ “3 ป.” ด้วยกัน

นี่เองจึงทำให้ พล.อ.ประวิตร มองว่าการที่ทั้งตนเองและ พล.อ.อนุพงษ์ ถูกโจมตี “เพราะไม่อยากให้อยู่ด้วยกัน”

นั่นหมายถึงว่า ฝ่ายตรงข้าม คสช. ต้องการจะแยกพี่แยกน้อง 3 ป. ออกจากกัน เพื่อลดทอนความแข็งแกร่งของ คสช.

อีกทั้งที่ผ่านมา ก็มีความพยายามในการตอกลิ่มให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร เข้าใจผิด หวาดระแวงกัน

ทั้งการปล่อยข่าว หรือการอ้างชื่อ พล.อ.ประวิตร ไปทำในเรื่องไม่ถูกต้องต่างๆ

รวมทั้งการอ้างชื่อ พล.อ.ประวิตร ไป “ดีล” กับนักการเมือง พรรคการเมือง เพื่อกรุยทางให้ตนเองเป็นนายกฯ ในอนาคต

แต่ทว่า ก็ไม่อาจทำให้ 3 พี่น้องเกิดความขัดแย้งใดกัน เพราะมีอะไรก็คุยกันตลอด และเจอกันทุกวัน

เพราะบ้านใน ร.1 รอ. ก็อยู่ห่างกันไม่กี่ก้าว ส่วนใหญ่หากมีอะไร นอกจากโทรศัพท์คุยกัน ก็จะมีบ้านของ พล.อ.ประวิตร เป็นที่นัดรวมพล

จึงเชื่อกันว่า พี่น้อง 3 ป. จะต้องกอดคอกันต่อไปจนตลอดรอดฝั่ง ตามที่ได้สัญญากันไว้ก่อนหน้าการรัฐประหารว่าจะไม่ทิ้งกัน

แม้ว่าจะมีการสร้างภาพให้ พล.อ.ประวิตร เป็น “ตัวถ่วง” รัฐบาลก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีว่า รัฐบาล คสช. จะขาดบารมีของพี่ใหญ่ไม่ได้

ขณะเดียวกัน ก็จะขาดมันสมองที่คิดวางแผนต่างๆ อย่างแยบยล ภายใต้ความนิ่งสุขุมของ พล.อ.อนุพงษ์ ไปได้

แม้ว่าในระหว่างทาง จะทำให้พี่ใหญ่และพี่รอง ต้องบอบช้ำไม่ได้ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ ที่กลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีบ่อยขึ้นในระยะหลัง ที่รุกเร้าไปถึงเรื่องส่วนตัว

เพราะทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ ล้วนมีครอบครัวเป็น “กล่องดวงใจ” จึงทำให้มีความพยายามในการโจมตี

ยิ่งเวลานี้ สถานการณ์เข้าสู่โหมดการเมืองแล้ว ทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ คสช. หวังใช้ในการหยั่งเสียงประชาชน และตรวจสอบฐานเสียงพรรคการเมือง ก่อนจะเดินเกมรับมือการเลือกตั้งพฤศจิกายน 2561 และการปลดล็อกทางการเมือง

แต่ทว่า หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อย 6 คำถาม หยั่งเสียงหยั่งเชิงประชาชน ก็ทำให้การเมืองยิ่งร้อน เพราะนักการเมืองมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. อาจตั้งพรรคการเมือง หรือมีพรรคนอมินี

เหล่านี้จึงทำให้สถานการณ์เป็นไปตามคำถามข้อ 6 ที่ว่า เพราะเหตุใดนักการเมืองจึงโจมตีรัฐบาล คสช. และนายกฯ อย่างมากผิดปกติในช่วงนี้

เหตุหนึ่ง ก็เพราะนักการเมืองเห็นชัดจากท่าทีของ พล.อ.ประวิตร ที่บอกว่า ถ้าจำเป็นก็ตั้งพรรค และท่าที พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่า ยังไม่ได้คิดเรื่องการตั้งพรรคตอนนี้ รอดูสถานการณ์ก่อน เพราะยังมีเวลาอีกตั้งปีหนึ่ง

อันสะท้อนว่า คสช. มีโอกาสจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพื่อเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 ให้ประชาชนเลือก แถมมีเครือข่าย คสช. กระจายกันไปเตรียมตั้งพรรครองรับ

แม้แต่พรรคภูมิใจไทย ที่เคยเชื่อกันว่าจะเป็นพรรคที่ถูกเลือกเป็นพรรคนอมินีของ คสช. ก็ยังต้องเปลี่ยนท่าทีมาโจมตีรัฐบาล คสช. โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล

เพราะ 6 คำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ส่อให้เห็นว่า คสช. จะเล่นการเมือง แต่จะอาศัยความต้องการของประชาชนเป็นใบเบิกทาง

คสช. จึงกลายเป็นคู่แข่งของพรรคการเมืองและนักการเมือง และกลายเป็นเป้าถูกโจมตีนั่นเอง และทำให้มิตรกลายเป็นศัตรู

เหล่านี้ทำให้ พล.อ.ประวิตร สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง เกาะติดความเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มต่างๆ ที่จะเข้มข้นขึ้นนับจากนี้ ทั้งการปล่อยข่าว และบิดเบือนข่าวสารข้อมูล เพื่อให้ร้ายโจมตีรัฐบาลและ คสช.

งานนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ายตำรวจเท่านั้นที่ต้องแอ๊กชั่น แต่ฝ่ายทหารที่มีบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผช.ผบ.ทบ. ที่ได้รับมอบหมายให้เป็น รอง ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ของ คสช. ต้องเกาะติดความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ทางการเมือง เพราะเป็นขอบข่ายงานที่ พล.อ.อภิรัชต์ ทำแบบลับๆ มาตลอด

เรียกได้ว่า ในเมื่อทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร แบไต๋ บ่งบอกว่า คสช. จะลงสู่สนามการเมือง ไม่ว่าจะตั้งพรรคหรือสนับสนุนพรรคใดก็ตาม แต่จะเป็นการรองรับการเป็นนายกฯ คนนอกของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังการเลือกตั้ง และมีพรรคการเมืองของตนเองเป็นฐานเสียงด้วยนั่นเอง

จึงยิ่งทำให้การเมืองยิ่งคุกรุ่น และพร้อมที่จะร้อนแรงได้ทุกเมื่อ…