จบ(ไม่)สมบูรณ์ | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ช

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

จบ(ไม่)สมบูรณ์

 

สภาจากการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ที่ทำท่า “ดิ เอนด์” หรือ “จบ”

แต่ก็ยังไม่ถึงจุด “จบสมบูรณ์”

ด้วยมีเรื่องพ.ร.ก.แก้ไขพ.ร.บ.อุ้มหาย เข้ามาแทรก ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้

จึงยังไม่อาจจบลงอย่างสมบูรณ์

และว่าที่จริง สภาวันนี้และวันข้างหน้า ก็ยากที่จะเกิดภาวะ”จบสมบูรณ์”

ด้วยเพราะ เมื่อจบสมบูรณ์แล้ว หลังจากนั้นย่อมจะเกิดสิ่งใหม่ ความหวังใหม่ ตามมา

แต่เอาเข้าจริงแล้วจะเป็นเช่นนั้นได้หรือไม่

เพราะแม้ สภาผู้แทนราษฏร จะสิ้นสุดลง แต่กฏกติกา โดยเฉพาะ รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ยังดำรงอยู่

วุฒิสภา ก็ยังไม่ได้ไปไหน

ล่าสุด ก็ได้แสดงพลัง “ถ่วงรั้ง” ด้วยการมีมติท่วมท้น 157 เสียง ต่อ 12 เสียง ไม่เห็นชอบ กับการเสนอให้คณะรัฐมนตรี ทำประชามติ เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดย สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง

ตอกย้ำการ ปกป้อง “รัฐธรรมนูญ ปี 2560” เอาไว้ สุดลิ่มทิ่มประตู

เป็นรัฐธรรมนูญ ที่เปิดทางให้ วุฒิสภา มีสิทธิเลือกนายกฯโดยมิต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

พรรคการเมือง ที่มีเสียงข้างมากที่สุด อาจจะไม่ได้นั่งนายกฯหรือเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล

ด้วย 250 เสียง ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร จะเป็นส่วนสำคัญในการชี้ขาด

แม้ว่าในปัจจุบัน จะถูกมองว่า ไม่มีเอกภาพ

แต่ก็เป็นความไม่มีเอกภาพในฝ่ายที่เป็นต้นธาร”ลากตั้ง”พวกตนเข้ามาทั้งสิ้น

พูดง่ายๆก็คือ แตกกันว่าจะเลือกใครดีระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

มิได้มีเป้าหมายที่จะเลือกหรือ เปิดโอกาสให้กับบุคลที่ประชาชนเลือกผ่านพรรคอื่นๆเข้ามา

มิหนำซ้ำส.ว.บางคนยังออกมากีดกันว่าจะไม่เลือกใคร อย่างเปิดเผย แม้ว่าบุคคลนั้นจะได้รับฉันทามติจากประชาชนเสียงส่วนใหญ่ก็ตาม

ขณะที่ สภาล่าง หรือสภาผู้แทนราษฏร แม้จะเป็น สภาชุดใหม่

แต่ก็คงไม่ใช่ สิ่งใหม่ หรือความหวังใหม่ เช่นกัน

ด้วย ยังมีผู้พยายามสืบทอดอำนาจต่อไป โดยแอบแฝงในเปลือกที่ทำให้ดูดี อาทิ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” อาศัยฐานเสียง วุฒิสมาชิก ผนึกกับ ส.ส.ในสังกัด ชิงผลักดันให้ตนเอง ครอบครองเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”ในเบื้องต้นเอาไว้ก่อน

แม้ว่าจะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย”ก็ตาม

โปรดสังเกตุว่า “เบื้องต้น”เอาไว้สักนิด เพราะเชื่อว่าหลังจากล็อกเก้าอี้ นายกฯเอาไว้ได้แล้ว

แผนปฏิบัติการต่อไปก็คือ การ”ดูด”ส.ส.ในสภาเข้ามาสนับสนุน ซึ่งรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ก็ปูทางเอื้อไว้ นั่นคือให้เอกสิทธิ์ส.ส.ไม่ต้องปฏิบัติตามมติพรรค

สามารถแหกมติไปหนุนใครให้ขึ้นเป็นนายกฯก็ได้ แม้จะถูกลงโทษโดยการขับออกจากพรรค ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะสามารถหาพรรคสังกัดใหม่ได้

ชิลๆเหมือนส.ส.งูเห่า หลายๆคนในสภาชุดที่กำลังจบลงนี้ ที่นอกจากจะไม่กลัวแล้ว ยังเรียกร้องให้มีการลงโทษขับออกจากพรรคเพื่อไปหาสังกัดใหม่

ดังนั้น สภาใหม่ จึงคงมากด้วยส.ส.งูเห่า และเต็มไปด้วย กล้วย ที่พร้อมจะแจกจ่ายให้กินอย่างอิ่มหนำ ต่อไป

ตอกย้ำว่า ถึงแม้เราจะมีสภาชุดใหม่ แต่ก็คงไม่ได้มีความหวังใหม่ใดๆเกิดขึ้น

หนำซ้ำ เผลอๆหลังจาก ชิงเก้าอี้นายกฯได้

จากนั้นดูดและแจกกล้วยจนครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาได้แล้ว

ก็คืบไปสู่การผนึกส.ว.แก้รัฐธรรมนูญ เลิกข้อห้ามนั่งนายกฯเกิน 8 ปี

เสวยอำนาจต่อไปไม่สิ้นสุด

ดังนั้น สภาเดิมแม้จะจบ แต่ก็ไม่ใช่การ จบโดยสมบูรณ์

ยังมี “ภาคต่อ” ของการสืบทอดอำนาจไปอีกเรื่อยๆ

———————-