เผยแพร่ |
---|
“เราต้องไหว้ยังไงอะ”
สวนสาธารณะที่ฉันกำลังเดินอยู่นี้ปลูกต้นไม้สวยงามเป็นระเบียบ มีทั้งไม้ใหญ่ยืนต้นและไม้พุ่มเตี้ยๆ ทางเดินปูหินลัดเลาะลดเลี้ยวลึกเข้าไปในสวน มองไม่เห็นป้ายห้ามเข้าหรือตีตราจองใดๆ ที่จะมากีดกั้นไม่ให้ฉันเดินไปตามทาง มีเพียงป้ายเล็กๆ ติดกับต้นไม้บางต้น แนะนำตัวว่าต้นนี้ชื่ออะไรเท่านั้นเอง
และที่สุดทางเดิน เป็นบ้านไม้เล็กจิ๋วจำลองของจริง ด้านข้างมีอ่างน้ำกับลำไม้ไผ่รองรับ มองรวมๆ แล้วคงไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากศาลเจ้า
ตามประสาคนหัวอ่อนว่าง่าย ไปไหนมาไหนก็อยากแจ้งให้เจ้าของที่ทางทราบเสียก่อน ฉันเลยยืนเก้กังมองหน้ากับเพื่อนร่วมเดิน ว่าเราจะทำยังไงดี
เทน้ำนี่เหรอ
หรือตบมือ
หรือจุดธูป
แต่ก็ไม่เห็นมีเทียน ธูป หรือบทสวดแปะให้เตะตาอะร้าอร่ามอย่างที่เคยคุ้น จะลอบมองเลียนแบบคนอื่นเพื่อความมั่นใจ ในสวนนี้ก็ไม่มีใครนอกจากเราสองคน
เอ๊ะ ไม่สิ
มีอีก 2 คน
แต่มาในแบบรูปปั้น
“ศาลนี่เป็นของสองคนนั้นแน่เลย เหมือนในห้างมาบุญครองไง”
“เค้าเป็นเจ้าของตึกนี้ป่าว”
“มั้ง ถ้าไม่ใช่จะมาสร้างทำไม”
“แล้วตกลงเราต้องทำอะไรต่อ”
บอกตามตรงว่าฉันไม่ค่อยคุ้นกับการเจออะไรที่ไม่เรียกร้องการกระทำตามแบบแผนเสียเท่าไหร่ มองไปรอบสวนก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ บ้างก็คุยโทรศัพท์ บ้างก็พาลูกวิ่งเล่น ขี่จักรยาน ยืนสูบบุหรี่กันเป็นปกติ
หรือก็ไม่ต้องทำอะไร
เพราะในใจก็รู้สึกดีกับสวนนี้ไปแล้ว ไม่ว่าคนที่ถูกปั้นนั้นจะเป็นใคร ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ หรือต้องทำพิธีใดๆ ต่อหน้ารูปปั้นทั้งสองหรือเปล่า
“นักมูลฐานนิยมไม่ว่ารูปแบบใดล้วนไม่ชอบประวัติศาสตร์และความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับมัน–คนเหล่านี้ต้องการเพียงอดีต และร่ำร้องว่า “ทำไมต้องเอาแต่พูดถึงอนาคตด้วย” มูลฐานนิยมคือการตีโพยตีพาย กรีดร้อง และปฏิเสธที่จะยอมรับความเป็นจริงรูปแบบใหม่
แต่ถ้าจิตของผู้เคร่งศาสนาคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และความรู้ใหม่ที่วิทยาศาสตร์นำมาให้แล้วละก็ คงเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่พวกเขาจะยอมรับแนวทางบริหารจัดการสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ในปัจจุบัน มูลฐานนิยมทางศาสนาหงุดหงิดกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากกว่าแรงกดดันจากวิทยาศาสตร์
และสำหรับการเปลี่ยนแปลงบางรูปแบบ มันไม่เพียงฉุนเฉียวเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นใช้กำลังตอบโต้”*
ฉันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกับศาสนา
ก็ดีล่ะมั้ง-เหมือนของที่มีอยู่ตรงนั้น เหมือนตู้เหมือนโต๊ะที่คุ้นตา เป็นสิ่งที่มีมาก่อนเราจะลืมตาเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ และคงยังอยู่ต่อไปแม้เราจะตายจากไปนานแล้ว
คำถามเชิงปรัชญาว่าเราเกิดมาทำไม มีธุระอะไรกับโลกใบนี้ หรือตายแล้วไปไหน ไม่เคยรบกวนชีวิตอันวุ่นวายของฉัน แม้ตอนเด็กๆ ฉันจะเคยสอบวิชาพระพุทธศาสนาได้ที่ 1 ของห้อง แต่ก็แค่นั้น มันคือการท่องจำ แล้วก็ตอบ เรียนกี่ปีเนื้อหาก็เหมือนเดิม ง่ายจะตาย
จะมาได้ยินแนวทางศาสนาบ่อยๆ อีกครั้งก็ช่วงฉันป่วยและแม่ป่วยนี่แหละ ที่คนกว่าครึ่งบอกให้ฉันหันเข้าหาธรรม
ฉันยิ้มๆ ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
เพราะการปฏิบัติตามความเป็นจริงก็ถือว่าเป็นหลักการหนึ่งที่ฉันยึดถืออยู่เสมอ
และมันคงเข้าได้กับหลักการของบางศาสนาแหละน่า
หลายคนบอกว่าศาสนาทำให้โลกสงบสุข
ก็-
ลองดูข่าวทุกวันนี้ก็ได้
ไอซิสกับโรฮิงญา
พระวีระธู
การเรียกร้องให้ยืดหยุ่นกติกาทางศาสนาคริสต์จากพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน
หรือจะย้อนไปสักพันปีก็ได้
การกระทบกระทั่งรบรากันด้วยเหตุจากความเชื่อนั้นมีอยู่คู่มนุษยชาติมาตลอด
พระเจ้าของฉันถูกต้องกว่าพระเจ้าของเธอ
หรือที่แท้แล้วศาสนานั้นสงบงาม
คนที่ตีความมันต่างหากที่ก้าวร้าว
“นับตั้งแต่ยุคโบราณกาล เมล็ดพันธุ์แห่งศาสนาได้ฝังราก งอกเงย แตกแขนง ยืนหยัดและเติบโตเคียงคู่กับวิวัฒนาการของมนุษย์ หนังสือเล่มนี้จะพาคุณตามรอยการเดินทางของศาสนาจากทั่วทุกมุมโลก นับตั้งแต่ศาสนาฮินดูอันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งแนวคิดเรื่องเวียนว่ายตายเกิด การปฏิรูปศาสนาคริสต์ที่เกี่ยวพันกับการเมืองของราชวงศ์ยุโรป ปัญหาเรื่องผู้สืบทอดอำนาจอันนำไปสู่การแตกนิกายในศาสนาอิสลาม ไล่เรียงมาถึงเรื่องราวของสารพัดลัทธิน้อยใหญ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น วิถีแห่งเต๋าที่มุ่งสอดประสานกับธรรมชาติ ลัทธิไซเอนโทโลจีกับแนวคิดสุดโต่งที่ดึงดูดเหล่าดาราฮอลลีวู้ด ฯลฯ
นี่คือหนังสือที่รวบรวมเกร็ดประวัติของศาสนาทั่วโลกมาร้อยเรียงกันได้อย่างมีชีวิตชีวา สะท้อนให้เห็นว่าศาสนาทับซ้อนกับมิติทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมอย่างมิอาจแยกขาด พร้อมชวนให้ขบคิดถึงบทบาทของศาสนาที่มีต่อมนุษย์
เมื่อศาสนาอาจไม่ได้เป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวที่ช่วยปลอบประโลมใจ แต่ยังถูกตีตราว่าเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามกวาดล้าง และการเข่นฆ่าคุกคามในหน้าประวัติศาสตร์ เช่นนั้นแล้ว เราควรรับมือกับดาบสองคมที่มีชื่อว่าศาสนาอย่างไร เพื่อไม่ให้คมดาบแห่งศรัทธานั้นทิ่มแทง”*
เป็นหนังสือที่สนุก
ไม่ใช่เป็นคู่มือการใช้ศาสนาอย่างที่เราต้องท่องจำสมัยเด็ก
สนุกแบบสนุก เพราะมีทั้งเรื่องราว ตัวละคร และมุมมองที่แตกต่างกันออกไป
และค่อยๆ บอกเราว่ามนุษย์ทั้งหลายล้วนแตกต่างกันไปตั้งแต่ต้นทาง
————————————————————————————————————-
*ข้อความจากในหนังสือ